ในกุลบุตรทั้งสองนั้น ในที่นี้ ท่านประสงค์เอาอาจารกุลบุตร. ก็ถ้าชาติกุลบุตรมีอาจาระ ชาติกุลบุตรนี้ก็จัดว่าสูงสุดทีเดียว. อนึ่ง บุรุษกะกำหนดด้วยผ้าขนาด ๘ ศอก ๙ ศอกย่อมนุ่งห่มได้ตามชอบใจ ไม่ลำบากเลย ไม่มีกิจที่บุรุษจะต้องชักผ้ามาขยายหรือเพิ่มในผ้านั้น ฉันใด ไม่มีกิจที่กุลบุตรผู้บวชด้วยศรัทธาจะต้องกะกำหนดจำแนกธรรมทั้งหลาย แม้ในธรรมนี้ ก็ฉันนั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายถึงข้อแม้นี้ว่า ธรรมนี้เราจำแนกไว้ดีแล้ว ขยายกว้างดีแล้ว ด้วยเหตุนั้นๆ จึงตรัสว่า ฉินฺนปิโลติโก ธรรมที่ปราศจากสมณะดุจผ้าขี้ริ้ว ดังนี้.
ตรัสความเกิดขึ้นแห่งรูป ที่กำหนดไว้ด้วยคำนี้ว่า ดังนี้เป็นความเกิดขึ้นแห่งรูป. ในบทว่า พฺรหฺมจกฺกํ ปวตฺเตติ นี้ บทว่า พฺรหฺมํ ได้แก่ ประเสริฐสุด สูงสุด บริสุทธิ์. พระธรรมจักรนั้น มี ๒ คือ ปฏิเวธญาณ ๑ เทศนาญาณ ๑. บทว่า สีหนาทํ นทติ ได้แก่ ทรงบันลือเสียงประเสริฐสุด เสียงที่ไม่น่ากลัว เสียงที่ไม่ใครเหมือน หรือบันลือเสียงเหมือนเสียงราชสีห์.
นิทานชาดก 500 ชาติ เรื่อง:หริตมาตชาดก ชาดกว่าด้วยผู้มีอิสรภาพ
ซึ่งผลบุญที่ได้ไม่ได้มีเพียงชาติเดียว แต่ยังให้ผลข้ามชาติด้วย ซึ่งเป็นผลอันเนื่องมาจากนิโรธสมาบัตินั่นเอง…” “ อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส อยมนฺติมา ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโวติ. บทว่า อปฺปมาเทน สมฺปาเทตุ ํ ได้แก่ เพื่อทำกิจทุกอย่างด้วยความไม่ประมาท. สัทธินทรีย์เป็นความผ่องใสโดยอธิโมกข์ ความน้อมใจเชื่อ. ละอสัทธิยะอันเป็นกากเสีย ดื่มแต่อธิโมกข์ อันเป็นความใสแห่งสัทธินทรีย์ เพราะเหตุนั้น สัทธินทรีย์จึงชื่อว่า มัณฑะ ใส เปยยะ ควรดื่ม.
เราเมื่อไม่เห็นนิมิตนั้น จึงเป็นผู้ถึงความเกษม ถึงความไม่กลัว ถึงความเป็นผู้องอาจอยู่ ดังนี้. ทำง่ายๆ..บอกต่อๆ..ได้บุญ เคล็ดการทำน้ำมนต์ด้วยตัวเอง “หลวงปู่เงิน” ท่านบอก.. บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงความเพียรมีองค์ ๔ จึงตรัสว่า กามํ ตโจ เป็นต้น.
แม้ในบทเหล่านั้น บทว่า อิติ ความว่า อย่างนี้เป็นความเกิด. ความพิสดาร แม้ของขันธ์เหล่านั้น ก็พึงทราบตามนัยที่กล่าวไว้แล้วในรูปว่า เพราะอวิชชาเกิด เวทนาก็เกิด ดังนี้เป็นต้น. บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงสีหนาทที่ทรงเป็นผู้ประกอบด้วยพระญาณที่บันลือ จึงตรัสว่า อิติ รูปํ ดังนี้เป็นต้น. เมื่อนับถอยหลังแต่บัดนี้ไปประมาณ ๓,๐๐๐ ปี ก่อนพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นในโลก หรือก่อนพระพุทธศักราช ๕๐๐ ปีเศษ ในประเทศอินเดีย …… ผมขอยกตัวอย่างบางตอนของ คุณสมถวิล คุ้มวงค์ จากหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๓ หน้า ๓๐๖ เพื่ออานิสงส์ทั้งเจ้าของเรื่องและคนอ่าน ดังนี้ครับ…
๑๐๐ พระเถราจารย์และข้อธรรมปฏิปทาขององค์ท่าน
บทว่า ปริสาสุ ได้แก่ บริษัท ๘ เหล่านี้[มหาสีหนาทสูตร] ว่า ดูก่อนสารีบุตร บริษัท ๘ เหล่านี้คือ ขัตติยบริษัท พราหมบริษัท คหบดีบริษัท สมณบริษัท จาตุมมหาราชิกบริษัท ดาวดึงสบริษัท มารบริษัท พรหมบริษัท. อีกนัยหนึ่ง จ่าฝูงโค ๑๐๐ ตัว ชื่อว่า อุสภะ จ่าฝูงโค ๑,๐๐๐ ตัว ชื่อว่าวสภะ. โคที่ประเสริฐสุดกว่าโคทุกตัว ทนอันตรายได้ทุกอย่าง สีขาว น่าเลื่อมใส นำภาระของหนักได้มาก พึงไม่สะดุ้งหวั่นไหว แม้เพราะเสียงฟ้าผ่าตั้ง ๑๐๐ ครั้ง ชื่อว่านิสภะ. บทว่า อาสภณฺฐานํ ได้แก่ฐานะอันประเสริฐสุด ฐานะอันสูงสุด หรือฐานะของพระพุทธเจ้าทั้งหลายองค์ก่อนๆ ผู้ประเสริฐ. พระมหาโมคคัลลานะเถระรับพระพุทธบัญชาแล้ว ก็ลงมาแจ้งข้อความนั้นแก่ชนทั้งหลาย ผู้ต้องการทราบเรื่องนี้อยู่……. ครั้นพระองค์ทรงรับแล้ว ประสงค์จะประทับนั่งเสวยผลมะม่วง ณ ที่ตรงนั้น พระอานนท์เถระเจ้าก็ปูลาดอาสนะถวายตามพระพุทธประสงค์ พร้อมกับเอาผลมะม่วงนั้น ทำเป็นอัมพปานะถวายให้ทรงเสวย…
บทว่า หีเนน อคฺคสฺส ความว่า ไม่ชื่อว่าบรรลุพระอรหัตที่นับว่าเลิศ ด้วยศรัทธาอย่างเลว วิริยะอย่างเลว สติอย่างเลว สมาธิอย่างเลว ปัญญาอย่างเลว. ในบทว่า กุลปุตฺเตน กุลบุตรมี ๒ คือ อาจารกุลบุตรและชาติกุลบุตร. จริงอยู่ คำนี้ เป็นคำเรียกโคอุสภะนั้นโดยปริยาย ฐานะนี้เป็นของโคอุสภะ เหตุนั้น จึงชื่อว่า อาสภะ. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทสพลสมนฺนาคโต แปลว่า ทรงประกอบด้วยพละกำลัง ๑๐. พุทธศาสนามหายานใน อินเดีย ได้รับการสนับสนุนโดย ราชวงศ์กุษาณ เมื่อสิ้นสุดราชวงศ์กุษาณ พุทธศาสนาได้รับการอุปถัมภ์โดย ราชวงศ์คุปตะ มีการสร้าง…
ติดต่อวัด
ธรรมดาพละนี้มี ๒ คือ กายพละ กำลังพระกาย ๑ ญาณพละ กำลังพระญาณ ๑. มีประการต่างๆ เป็นเอนก ถึงซึ่งวิโมกขสิวาลัยอันเป็นบรมสุขแล. แสดงถึงทุกข์ทั้งที่มีการก้าวลงสู่ครรภ์เป็นมูลฐาน ทั้งที่มีการบริหารครรภ์เป็นมูลฐาน ทั้งที่มีการออกจากครรภ์เป็นมูลฐาน… อรรถกถา สังยุตตนิกาย นิทานวรรค อภิสมัยสังยุตต์ ทสพลวรรคที่ ๓ ทสพลสูตรที่ ๒ จบ. คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้นี่แล คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ นี้ชื่อ พรหมจริยมัณฑะ พรหมจรรย์ผ่องใส.
อีกนัยหนึ่ง แม้ผ้าเล็กๆ ก็เรียก ปิโลติกา [ผ้าเก่า ผ้าขี้ริ้ว] ผู้ใดไม่มี ปิโลติกา นั้น แต่มีแต่ผ้าผืนใหญ่ขนาด ๘-๙ ศอก ผู้นั้นก็ชื่อว่า ฉินนปิโลติกะ ขาดผ้าเก่าผ้าขี้ริ้ว. บทว่า อิมสฺส อุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ ความว่า เพราะปัจจัยมีอวิชชาเป็นต้นนี้เกิด ผลมีสังขารเป็นต้นนี้ก็เกิด. บทว่า อิมสฺมึ อสติ อิทํ น โหติ ความว่า เมื่อปัจจัยมีอวิชชาเป็นต้นนี้ไม่มี ผลมีสังขารเป็นต้นนี้ ก็ไม่มี. บทว่า อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ ความว่า เพราะปัจจัยมีอวิชชาเป็นต้นนี้ดับ ผลมีสังขารเป็นต้นนี้ก็ดับ.
บทว่า อารทฺธวิริโย จ โข ภิกฺขเว ความว่า บุคคลผู้ปรารภความเพียร ย่อมอยู่เป็นสุขในพระศาสนานี้โดยแท้. ส่วนผู้ที่ประกอบความเพียรอยู่ในลัทธินอกพระพุทธศาสนา ย่อมอยู่เป็นทุกข์. บทว่า ทุกฺขํ ภิกฺขเว กุสีโต วิหรติ ความว่า ในพระศาสนานี้ บุคคลใดเกียจคร้าน บุคคลนั้นย่อมอยู่เป็นทุกข์ แต่ในลัทธินอกพระพุทธศาสนา ผู้ใดเกียจคร้าน ผู้นั้นย่อมอยู่เป็นสุข. ขึ้นชื่อว่าสมณะหยากเยื่อ ย่อมจะดำรงอยู่ในพระศาสนานี้ไม่ได้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิติ รูปํ แปลว่า นี้รูป เท่านี้รูป. ตรัสการกำหนดรูปไม่ให้เหลือด้วยอำนาจลักษณะ รส ปัจจุปปัฏฐานและปทัฏฐาน ทำสิ่งที่มีความสลายเป็นสภาวะ และความแตกต่างภูตรูปและอุปาทายรูป เป็นต้นไปว่า เหนือนี่ขึ้นไป รูปไม่มี.
บทว่า อคฺเคน จ โข ความว่า ชื่อว่าบรรลุพระอรหัตอันเลิศ ด้วยคุณมีศรัทธาเป็นต้นอย่างเลิศ. จริงอยู่ ภิกษุผู้ปรารภความเพียร ย่อมเป็นอันคุ้มครองทวารทั้ง ๖ ดีแล้ว. แม้ด้วยบททั้งสอง ท่านก็ประสงค์เอาเฉพาะพระอรหัตอย่างเดียว. แต่เมื่อว่าโดยพิสดาร การวินิจฉัยความเกิดและความเสื่อม ที่บริบูรณ์ด้วยอาหารทุกอย่าง ก็กล่าวไว้แล้วในคัมภีร์วิสุทธิมรรค. แม้เสียงอย่างนี้ว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็มี ดังนี้ ก็เป็นสีหนาทอีกประการหนึ่ง. ความพิสดารก็มีอย่างนี้ว่า เพราะอวิชชาดับ รูปก็ดับ.
- ครั้นพระบรมศาสดาทรงแก้ปัญหา ที่ปุณณกมาณพทูลถามอย่างนี้แล้ว ในที่สุดแห่งการแก้ปัญหา ปุณณกมาณพ ได้สำเร็จพระอรหัตผล (ก่อนอุปสมบท) เมื่อพระศาสดาทรงพยากรณ์ปัญหาแห่งมาณพนอกนี้เสร็จสิ้นแล้ว ปุณณกมาณพพร้อมด้วยมาณพอีก ๑๕ คน ขออุปสมบทในพระธรรมวินัย พระองค์ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุ ด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา ท่านดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพานฯ..
- บทว่า อิมสฺมึ อสติ อิทํ น โหติ ความว่า เมื่อปัจจัยมีอวิชชาเป็นต้นนี้ไม่มี ผลมีสังขารเป็นต้นนี้ ก็ไม่มี.
- วรรณะใดออกบวช ตั้งอยู่ในศีลในธรรม วรรณะนั้นย่อมได้รับความนับถือ และได้รับบำรุงและได้รับคุ้มครองรักษาเสมอกันหมดฯ..
- พระองค์ทรงอนุญาตให้ท่านเป็นพระภิกษุ ด้วยวิธี เอหิภิกขุอุปสัมปทา เมื่อมีอินทรีย์แก่กล้าแล้ว ได้ฟังเทศนา อนัตตลักขณสูตร ก็ได้สำเร็จพระอรหัตผล เป็น พระอรหันต์ ผู้ชื่อว่า อเสขบุคคล (พระอเสขบุคคล คือ ผู้ที่ไม่ต้องศึกษาอะไรอื่นอีกต่อไป) ท่านได้ช่วยเป็นกำลังพระบรมศาสดาประกาศพระศาสนาคราวแรกองค์หนึ่ง เมื่อท่านดำรงอายุสังขารอยู่พอสมควรแก่กาลแล้วก็ดับขันธปรินิพพานฯ..
- ศีลมีอาชีวะเป็นที่ ๘ [อาชีวมัฏฐกศีล] ก็ไม่ผ่องแผ้ว.
- พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงว่า จริงอยู่ บุคคลดื่มน้ำดื่มอันใดแล้ว ล้มลงระหว่างถนน ไม่รู้สึกตัว ไม่เป็นเจ้าของแม้แต่ผ้าเป็นต้นของตนเอง น้ำดื่มอันนั้นแม้ใสก็ไม่ควรดื่ม.
อริยสาวกแม้เมื่อเห็นวิปริณามลักษณะ ลักษณะแปรปรวน ย่อมเห็นความดับแห่งรูปขันธ์. จริงอยู่ เทศนาญาณนั้นที่ประกาศจนถึงโสดาปัตติมรรคของพระอัญญาโกณฑัญญะ ชื่อว่ากำลังประกาศ. ครั้นพระมหาเถระเจ้าเหาะเวียนได้ ๗ รอบแล้ว ก็สลัดแผ่นหินที่เหยียบอยู่นั้น ให้ปลิวตกไปยังที่เดิม แล้วเหาะมาลอยอยู่เบื้องบนแห่งเรือนท่านเศรษฐีนั้น…… ในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จจากพระนครไพศาลี มาประทับยังพระเวฬุวันวิหาร ณ พระนครราชคฤห์ อีกวาระหนึ่ง…