ผู้ที่สามารถทำลายวัฏจักรการเกิด ในปฏิจจสมุปบาท ได้แล้ว จะเป็นผู้บรรลุธรรม สามารถแยกส่วนที่เป็นวัตถุธาตุ ออกจากจิตธาตุ แล้วเลือกทำลาย เฉพาะวัฏจักรการเกิด ในส่วนที่เป็นจิตธาตุ ผลคือ ผู้นั้นจะจิตใหม่ เป็นอสังขตาธาตุ (นิพพาน). ความจริงทั้ง 2 ระบบ เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติ แต่มนุษย์มักมองไม่เห็น หรือเข้าไม่ถึง. การเข้าถึงความจริง ไม่ว่าในระบบใด ต้องผ่านการเรียนรู้และฝึกปฏิบัติ.
บาง ครั้ง นับ ว่า ดี ที่ จะ ให้ เพื่อน ดู ภาพ หรือ อ่าน เรื่อง หนึ่ง จาก หนังสือ ของ เรา. ให้ เขา ดู ภาพ หน้า 29 ใน หนังสือ ความ รู้ และ อ่าน คํา อธิบาย ภาพ. มัน อาจ เป็น รูป ภาพ ใน หนังสือ หรือ ใน นิตยสาร ฉาก ภาพยนตร์ หรือ ใน จอ โทรทัศน์, ภาพ บน แผ่น ป้าย โฆษณา หรือ แม้ แต่ ใน สภาพการณ์ จริง ใน ชีวิต. จะมีพื้นที่ของห้วงอวกาศโปร่งใส และมีอาณาเขตไม่แน่นอน.
คำแปล Picture E-book
ความคิดปรุงแต่ง (สังขารขันธ์) คือ ความสามารถคิดปรุงแต่งเรื่องราว ทั้งในอดีตปัจจุบันอนาคต. จากเหตุผลข้อนี้ ห้วงอวกาศของเวลา เป็นจุดเริ่มของ Big Bang และเป็นจุดจบของ Big Crunch (ถ้า Big Bang และ Big Crunch เป็นจริง). คือ พื้นที่ของห้วงอวกาศของสิ่งนั้น จะไหลไปตาม ภาวะการเปลี่ยนแปลง (ทั้งในด้านตำแหน่ง และรูปทรง) ของสิ่งนั้น. ห้วงอวกาศ เปรียบเหมือน เงา’ หรือคู่แฝด ที่ซ่อนอยู่และซ้อนทับอยู่กับสิ่งนั้นๆ.
- อวิชชา สังขาร เป็นธัมมะธาตุที่มีกายภาพ ที่วิญญาณสามารถใช้เป็น สถานที่ปรากฎตัวตนได้ง่ายที่สุด.
- ซึ่งมาจากแนวคิดของ เฮลเก ฟอน คอค นัก คณิตศาสตร์ชาวสวีเดน เมื่อปี ค.ศ.1904.
- ที่อาศัยอยู่ในภพภูมิต่างๆ เช่น ภพภูมิมนุษย์ (มนุษย์โลก เช่นเดียวกับวิทยาศาสตร์) ภพภูมิอบาย (สัตว์นรก เปรตวิสัย) ภพภูมิเทวดา (เทวดา พรหม มาร).
- ความยาวของแพลงก์วิลเลอร์ เป็นมาตราส่วนความยาว ที่สั้นที่สุด ของสิ่งใดๆ ที่วัดค่าได้.
- ที่เป็นเช่นนี้ เพราะวิญญาณ ปรากฎอยู่ทั่วไปในเอกภพที่ไม่มีขอบเขต และที่กล่าวว่า วิญญาณ ไม่มีขนาด เพราะวิญญาณ เป็นนามธาตุที่หาพิกัดตำแหน่งไม่ได้ นั่นเอง.
- แต่มโนทัศน์ของนักวิทยาศาสตร์ ยังติดอยู่ในกรอบของวัตถุธาตุ ซึ่งเป็นสังขตาธาตุ ส่งผลให้พวกเขา เข้าถึงธรรมชาติอันซับซ้อน ได้อย่างจำกัด.
ห้วงเวลาที่ถูกปักหมุดตรึงอยู่กับที่ ไม่ว่าจะเป็น อดีต ปัจจุบัน หรือ อนาคต ก็ตาม ก็คือ มิติที่ zero ของเวลา ซึ่งไม่มีอยู่จริง. ห้วงเวลาที่ถูกปักหมุด จาก อดีตมาปัจจุบัน หรือ ปัจจุบันไปอนาคต หรือจากอดีตมาปัจจุบัน แล้วเลยไปยังอนาคต นี่คือ มิติที่ 1 ของเวลา หรือเวลา 1 มิติ. ในชีวิตประจำวันของมนุษย์ มักจะมองไม่เห็นความจำเป็น และไม่ให้ความสำคัญของวัตถุ zero มิติ. ขนาด zero มิติ กลายเป็นข้อถกเถียงกัน ในหมู่นักฟิสิกส์ ว่าแท้จริงแล้ว อนุภาคเหล่านั้น ดำรงอยู่ในภาวะเป็นจุด (มิติที่ 0) หรือเป็น เส้นสตริง 1 มิติ กันแน่. ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์มีแนวโน้มยอมรับ สตริง มากยิ่งขึ้น.
พระอภัยมณี
ในห้วงเวลาทางจินตภาพ ไม่ได้เกิดจาก การคำนวณทางคณิตศาสตร์ แต่เป็นเวลาที่เกิดจากความคิด จินตนาการ. ดังนั้น การทำนายการเกิดดับของเอกภพ ในเชิงจินตภาพ จึงไม่มีข้อจำกัดเรื่อง เวลา หรือ การคำนวณทางตรรกศาสตร์ ของคณิตศาสตร์. กล่าวได้ว่า กาลเวลา ไม่อาจต้านการเสื่อมสลายของวัตถุธาตุ สสารพลังงานได้เลย นี่คือ สังขตลักษณะของสรรพสิ่ง ที่มีการปรุงแต่งตัวตนอยู่ตลอดกาล.
มโนทัศน์สัมพัทธภาพ จะเป็นทางออกให้แก่ปัญหาที่ว่า จะจัดการอย่างไรกับค่าอนันต์ และวัฏจักรอนันต์ ที่มีอยู่ในธรรมชาติ. เกมต่อคำพื้นบ้านของไทยโบราณ ฝนเอย ทำไมจึงตก ฝนตก เพราะกบมันร้อง … ข้าวดิบ เพราะไฟดับ, ไฟดับ เพราะฟืนเปียก, ฟืนเปียก เพราะฝนตก, ฝนเอย ทำไมจึงตก …
ประวัติ
ประสาทสัมผัส ที่รับรู้และมีปฏิกิริยา ต่อสิ่งเร้า (อายตนะภายนอก) จากทั้งภายนอกและภายใน (อายตนะภายใน) โดยการมองเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น และการรับรส เป็นการตอบสนอง ต่อสิ่งเร้าภายนอก. ในขณะที่ความรู้สึกหิว เป็นกฏิกิริยาตอบสนอง สิ่งที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย. มีข้อพิสูจน์อย่างหนึ่งว่า ในห้วงอวกาศที่ไร้ขอบเขต เต็มไปด้วยวัตถุธาตุ ที่มีความพัวพันกัน ของอนุภาคหนึ่งกับอีกอนุภาคหนึ่ง ไม่มากก็น้อย ไม่ว่าอนุภาคทั้งสอง จะอยู่ห่างกันไกลเพียงใด. เมื่ออนุภาคหนึ่ง ถูกกระทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ก็จะส่งผลกระทบ กับอีกอนุภาคหนึ่ง ในทางตรงกันข้าม เกือบจะหรือในทันที (พฤติการณ์ การสปินของอนุภาค เป็นการสื่อสารกัน ตามธรรมชาติ). ข้อสรุปจากทฤษฎีใหม่นี้ ทำให้นักฟิสิกส์เหล่านั้น เกิดคำถามต่อมาอีกว่า พลังงาน ที่ก่อให้เกิดแรงผลัก อันถูกกระตุ้น โดยเครือข่ายของเงื่อน ที่ระเบิดออก มีกลไกการทำงานที่ต้านแรงโน้มถ่วง จนทำให้เอกภพขยายตัวออก ได้อย่างไร.
แต่สำหรับผู้สังเกต ที่อยู่ภายนอกหลุมดำ จะเห็นวัตถุที่สังเกต ถูกดึงดูดหายเข้าไป ในใจกลางของหลุมดำ และไม่มีโอกาสหลุดรอดออกมาได้เลย ตลอดกาล. ช่วงอายุของหลุมดำหลุม ก่อนที่มันจะสลายไป จะกินเวลายาวนานมาก จนไม่อาจนับจำนวนที่แน่นอนได้. กาลอวกาศของอรูป เป็นกาลอวกาศทางจิตธาตุ เช่นเดียวกับ กาลอวกาศของรูปฌาน แต่มีความละเอียด และควบแน่น มากกว่า มีคุณภาพบริสุทธิ์กว่า. กาลอวกาศ ของอรูป เริ่มจาก การควบแน่นของรูปฌาน ก่อให้เกิดการหักล้างกันเอง ระหว่างจิตฝ่ายลบ (อกุศล) และจิตฝ่ายบวก (กุศล) ทำให้คุณสมบัติ และการรับรู้ของรูปสลายไป. ในขณะเดียวกัน จิตที่บริสุทธิ์นี้ จะถูกปรุงแต่ง ให้เกิดความว่างเปล่า แบบยิ่งยวด ขึ้นมาแทนที่ จนไม่อาจบอกได้ว่า สภาวะของจิต มีอยู่หรือไม่มี (อวกาศที่เป็น อรูป).
ประเภทของงานอันมีลิขสิทธิ์
สัตตาวาสของสัตว์อบายภูมิและเทวดา อาจตั้งอยู่ในมิติที่ลึกกว่า มิติที่ four ของกาลอวกาศ ก็เป็นได้. ซึ่งใช้เวลาสั้นมากๆ เมื่อเทียบกับอายุการเสื่อมของเอกภพทั้งก้อน ซึ่งยาวนานเกือบเป็นค่าอนันต์. ช่วงนั้น เอกภพขยายตัว จากขนาดเท่าอิเล็กตรอน เป็นขนาดเท่าลูกฟุตบอล ในเวลาเพียงเศษเสี้ยววินาที. เมื่อภาวะอินเฟลชั่นยุติลง เอกภพก็เหลือมิติหลักเพียง three มิติเท่านั้น. ความว่างที่เรียกว่า house นั้น จะมีสสาร พลังงาน อยู่ในนั้นด้วย. หลังบิ๊กแบง อุณหภูมิลดลง อนุภาคต่างๆ เกิดการวิวัฒน์ พัฒนาเป็นธาตุต่างๆ มากมาย ในขณะเดียวกันก็แตกสลาย ภายใต้ภาวะกดดันของอุณหภูมิบ้าง แรงโน้มถ่วงบ้าง.
ตามทฤษฎีบิ๊กแบง เอกภพใช้เวลาเกิดสั้นมากๆ แต่ใช้เวลาวิวัฒนาการไปสู่การเสื่อม ยาวนานมาก ชนิดเทียบสัดส่วนกันไม่ได้เลย. ตถาคต จึงระบุการสิ้นสุดของการเสื่อม ไว้ในข้อที่ three ของหลักสังขตธรรม คือ ในระหว่างการดำรงอยู่ (ซึ่งก็คือ ภาวะการเสื่อมนั่นเอง) ก็มีภาวะอย่างอื่นปรากฎ (ฐิตัสสะ อัญญะถัตตัง ปัญญายติ). คำว่า ก็มีภาวะอย่างอื่นปรากฎ’ หมายถึง ความเสื่อมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนอาจมีค่าใกล้เคียงอนันต์ (แต่ไม่ใช่อนันต์).
ถ้าวิญญาณมีส่วนที่คล้ายกับแสง ก็อนุมานเป็นข้อสรุปได้ว่า วิญญาณ มีอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว เป็นจำนวนอนันต์. ตัวอย่าง ของการมีอยู่ของ มิติที่ four เช่น อะตอม ที่มีเมฆของอิเล็กตรอน หมุนวนรอบนิวเคลียสที่เป็นแกนกลาง. ถ้าจับอิเล็กตรอน แยกออกจากนิวเคลียส และทำให้มันอยู่นิ่งๆ ก็จะมองไม่เห็นมิติที่ four ของอะตอม. ถ้าจับอิเล็กตรอน แยกออกจากนิวเคลียส แล้วเอามากองรวมกัน ก็จะเหลือตัวตนของอะตอมเพียงนิดเดียว. เพราะอะตอมประกอบด้วยอิเล็กตรอน นิวเคลียส รวมทั้งช่องว่าง ทำให้ภาพรวมของอะตอม มีขนาดใหญ่กว่า การรวมกัน ของอิเล็กตรอนและนิวเคลียส เมื่ออยู่นิ่งๆ.
เพราะเวลาเป็นสิ่งที่ไม่หยุดนิ่ง ทำให้อวกาศและเวลา กลายเป็นมิติที่ 4 ที่มีแต่มโนทัศน์ ไม่มีตัวตน. มิติในข้อนี้ทั้งหมด คือ มิติของวัตถุที่มีเวลามาสัมพัทธด้วย. ถ้ารูปทรงมิติที่ 1 มิติที่ 2 และ มิติที่ 3 และแม้กระทั่ง มิติที่ 0 เกิดการสัมพัทธกับเวลา (วัตถุเคลื่อนไป) ทำให้ตัวมันเองเกิดการวิวัฒน์ กลายเป็นมิติอื่นๆ มากกว่า 4 มิติ ซ้อนทับอยู่ในมิติที่ 1 มิติที่ 2 และ มิติที่ three. เพราะความโค้งของพื้นผิว ที่มีเส้นตรงลากไป จะสร้างมิติที่ 3 ให้แก่แนวระนาบ.