แรงเสียดทาน คือแรงที่ต้านการเลื่อนหรือการลื่นเมื่อวัตถุสองชิ้นสัมผัสกัน และมักเปลี่ยนพลังงานเป็นความร้อนแบบง่ายๆ
friction เป็น force ที่ทำงานขนานกับ surface สัมผัส และตรงข้ามทิศทางการ motion ของ objects เสมอ
ปริมาณขึ้นกับ contact ระหว่าง materials และค่าสัมประสิทธิ์ μ ซึ่งเป็นตัวบอก value เชิงทดลอง ไม่ใช่ค่าคงที่สากล
สูตรที่ใช้บ่อยคือ fs ≤ μsN สำหรับสถิต และ fk = μkN สำหรับจลน์ โดย N คือแรงตั้งฉาก
ตัวอย่างใกล้ตัว เช่น รองเท้ากับพื้นเปียกหรือยางรถบนคอนกรีต ช่วยให้เห็นว่าการเข้าใจพื้นฐานนี้สำคัญต่อการออกแบบ การเบรก และความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน
ภาพรวมแรงเสียดทาน: แรงที่ขัดขวางการเคลื่อนที่แต่ทำให้เราเดินได้
friction ทำหน้าที่สองด้าน: มันเป็น force ที่ต้าน motion จนเสียพลังงาน แต่ก็สร้าง traction ให้ shoes และ car ยึดพื้นได้อย่างปลอดภัย
ตัวอย่างเชิงปฏิบัติ: รถยนต์ใช้พลังงานประมาณร้อยละ 20 เพื่อเอาชนะแรงเสียดทานในชิ้นส่วนเคลื่อนที่ ซึ่งแสดงว่าฟังก์ชันนั้นมีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานจริง
ในสภาพที่มี water หรือพื้นลื่น traction ลดลง ทำให้เกิดการลื่นได้ง่าย ขึ้นกับ conditions ของพื้นผิวและความเร็ว
ทดลองชี้ว่า friction แทบไม่ขึ้นกับพื้นที่สัมผัสที่มองเห็น แต่แปรตามน้ำหนักกดและคุณสมบัติของผิวเมื่อมี contact และ relative motion
| ด้านที่เป็นประโยชน์ | ด้านที่เป็นโทษ | ตัวอย่างบน table |
|---|---|---|
| frictional forces ทำให้ยืน เดิน ปั่นจักรยานได้ | สึกหรอและความร้อนในชิ้นส่วน | แรงสถิตทำให้วัตถุเริ่มหยุด และแรงจลน์หยุดการเคลื่อนที่ |
| traction ของรองเท้าและยาง | สูญเสียพลังงานใน car | บนพื้นเปียก traction ลด ลื่นง่าย |
ย่อหน้าถัดไปจะเจาะลึกทิศทางของ force เสียดทานและนิยามเชิงฟิสิกส์ที่ชัดเจน
ความ หมาย ของ แรง เสียด ทาน และทิศทางของแรงในฟิสิกส์
friction เกิดจากการสัมผัสระหว่าง two surfaces และทำหน้าที่เป็นแรงต้านเมื่อมีการพยายามเคลื่อนที่ของ object.
นิยามอย่างเป็นระบบ: frictional force ปรากฏขึ้นเมื่อมี contact ระหว่าง two surfaces หรือระหว่างวัตถุกับของไหล. แรงนี้มองเห็นไม่ง่าย แต่มีผลชัดเจนต่อการเคลื่อนที่และการสูญเสียพลังงาน.
ทิศทางของแรง: friction เป็น force ที่ขนานกับพื้นผิว และมักทวนทิศทางการเคลื่อนที่หรือความพยายามจะเคลื่อนที่. นี่คือเหตุผลที่มันหยุดการเลื่อนและสร้าง traction ให้กับรองเท้าและยางรถ.
ทั้ง surfaces ที่สากและการยึดเหนี่ยวระดับจุลภาคของ materials กำหนดขนาดของ friction force. ในระดับจุลภาค ส่วนพื้นที่จริงที่ surfaces contact มักน้อยกว่าแผ่นผิวที่เห็น จึงยากจะคาดเดาด้วยตาเปล่า.
การมีหรือไม่ของ relative motion กำหนดประเภทเป็นสถิตหรือจลน์ และค่าสัมประสิทธิ์ (coefficient) จะใช้ร่วมกับแรงตั้งฉากเพื่อคำนวณ frictional force อย่างเป็นรูปธรรม.
ประเภทของแรงเสียดทาน: static, kinetic, rolling และพฤติกรรมที่เกี่ยวข้อง
รูปแบบของแรงเสียดทานกำหนดว่าการเริ่มเคลื่อนที่และการคงการเคลื่อนที่จะเป็นไปอย่างไร.
Static friction ปรับค่าจนถึงค่าสูงสุด fs ≤ μsN เพื่อยับยั้งการเริ่มเคลื่อนที่ของ object. ค่านี้มาจากการยึดเหนี่ยวจุลภาคบนพื้นผิวและมักมากกว่าแรงที่ต้องการคงการเคลื่อนที่.
Kinetic friction (called kinetic friction) เป็นค่าจลน์ fk = μkN. ค่าต่ำกว่า static friction ทำให้ “เริ่มให้ไหลยากกว่าคงการไหล” เพราะต้องเอาชนะแรงยึดเหนี่ยวเริ่มต้นก่อน.
Rolling friction เกิดจากการยุบตัวเชิงยืดหยุ่นของล้อหรือ ball บริเวณพื้นที่สัมผัส. พลังงานบางส่วนถูกสูญเสียระหว่างยุบและคืนรูป ทำให้ค่าสัมประสิทธิ์ต่ำกว่าการลื่นหลายร้อยเท่า.
- stick-slip: การสลับระหว่างติดและลื่น เมื่อ static มากกว่า kinetic จะเกิดเสียงและการสั่น
- การประยุกต์: ใช้ลูกปืนและล้อเพื่อลด amount friction และลดการสึกหรอ
| ประเภท | สูตร/ลักษณะ | ผลต่อการใช้งาน |
|---|---|---|
| Static | fs ≤ μsN | ต้องใช้แรงเริ่มต้นสูงกว่า เหมาะกับการยึด |
| Kinetic | fk = μkN | คงการเคลื่อนที่ง่ายกว่า ลดเสียงสั่น |
| Rolling | เกิดจากการยุบตัวเชิงยืดหยุ่น | การสูญเสียพลังงานต่ำ ใช้ในล้อและลูกปืน |
สัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน μ: ความหมาย สูตร และค่าตัวอย่างจากวัสดุต่าง ๆ
ค่าสัมประสิทธิ์ (coefficient) เป็นตัวเลขไร้มิติที่บอกสัดส่วนระหว่างแรงเสียดทานกับแรงตั้งฉาก (normal force) ของวัตถุ.
สูตรที่ใช้บ่อยคือ fs ≤ μsN สำหรับ static friction และ fk = μkN สำหรับ kinetic friction. N คือแรงตั้งฉาก ซึ่งมักเท่ากับน้ำหนักของวัตถุเมื่อพื้นราบ.

ค่าตัวอย่างจากระบบจริง
ตัวอย่างค่าที่วัดได้จากการทดลองแสดงในตารางด้านล่าง. ค่าเหล่านี้ขึ้นกับผิวและการหล่อลื่น.
| วัสดุ | μs (สถิต) | μk (จลน์) | ความหมายเชิงปฏิบัติ |
|---|---|---|---|
| ยางบนคอนกรีต (แห้ง) | ≈ 1.0 | ≈ 0.7 | traction สูง เหมาะสำหรับ car |
| ยางบนคอนกรีต (เปียก) | ≈ 0.7 | ≈ 0.5 | traction ลดลง เสี่ยงลื่น |
| ไม้บนไม้ | ≈ 0.5 | ≈ 0.3 | ต้องใช้ half weight เพื่อคงการเลื่อน |
| เหล็กบนเหล็ก (แห้ง/มีน้ำมัน) | ≈ 0.6 / 0.05 | ≈ 0.3 / 0.03 | หล่อลื่นลด coefficients อย่างมาก |
| รองเท้าบนน้ำแข็ง | ≈ 0.1 | ≈ 0.05 | very low traction ง่ายต่อการลื่น |
วัด μ แบบง่ายที่บ้าน
วางเหรียญบนหน้าหนังสือแล้วค่อยๆ เอียงจนเหรียญไหลด้วยความเร็วคงที่. มุม θ ที่ได้ให้ค่าโดยประมาณ μk ≈ tanθ.
สังเกตมุมที่เริ่มไหลจะมากกว่ามุมไหลคงที่ ซึ่งสะท้อนว่า static friction มักมากกว่า kinetic friction.
ปัจจัยที่มีผลต่อ friction: น้ำหนัก พื้นที่สัมผัส วัสดุ ผิว สารหล่อลื่น และสภาพแวดล้อม
ปัจจัยหลายอย่างมีบทบาทต่อขนาดของ friction ที่เกิดขึ้นระหว่างพื้นผิวสองชิ้น.
friction proportional กับ weight ในทางทดลอง คือแรงต้านเพิ่มขึ้นเกือบเชิงเส้นเมื่อโหลดมากขึ้น.
สิ่งนี้เกิดจาก real area of contact ระดับจุลภาคที่ขยายตัวเมื่อเพิ่มแรงกด แม้ว่า area ที่เห็นจะไม่เปลี่ยนมาก.
พื้นผิวและ topography ของ surface กำหนดจุดสัมผัสจริงให้มีน้อยและกระจาย.
วัสดุต่างกันให้ค่า μ ต่างกัน: materials อย่างเหล็ก ไม้ ยาง หรือเทฟลอน มีการยึดเหนี่ยว (adhesion) ระดับโมเลกุลไม่เท่ากัน.
water กับน้ำมันมีบทบาทต่างกันใน conditions ของผิว; น้ำบางครั้งลดการยึดเหนี่ยวหรือเพิ่มชั้นลื่น ขณะที่ oil ทำหน้าที่เป็นฟิล์มหล่อลื่นจริงจัง.
ตัวอย่างเช่น เหล็กบนเหล็กเมื่อใส่น้ำมันจะลด μ จากราว 0.3 เป็นประมาณ 0.03, ลดการสึกหรอและความร้อนลงมาก.
การควบคุม surface finish และการเลือกสารหล่อลื่นช่วยจัดการ area contact จริงและค่า friction เพื่อให้ระบบกลทำงานทนทานขึ้นภายใต้ force ที่ต้องการ.
ตัวอย่างใช้งานจริงในประเทศไทย: รถ รองเท้า คอนกรีต ไม้ เหล็ก น้ำแข็ง และโจทย์คำนวณ
ด้านล่างยกกรณีตัวอย่างสั้น ๆ เพื่อให้เห็นผลของค่าสัมประสิทธิ์ต่อการปฏิบัติงานในสภาพจริงของไทย.

ลังไม้บนพื้นคอนกรีต
ลัง wood น้ำหนัก 100 kg จะมี N ≈ 980 N. ถ้า μs ≈ 0.45
fs(max) ≈ 0.45 × 980 ≈ 440 N จึงต้องใช้แรงมากกว่านี้เพื่อเริ่มเคลื่อน.
เมื่อเริ่มเลื่อน หาก μk ≈ 0.30 แรงที่ต้องใช้เพื่อคงการเลื่อน ≈ 290 N.
รถและรองเท้าบนพื้นเปียก
ยาง car บนคอนกรีต: μk แห้ง ≈ 0.7, เปียก ≈ 0.5. น้ำลด traction จึงเพิ่มระยะเบรก.
คนขับควรผ่อนเบรกใกล้หยุด เพราะ static friction สูงกว่า kinetic friction ทำให้ควบคุมการหยุดได้แม่นขึ้น.
รางเอียงและพื้นลื่น
สำหรับ object เลื่อนบนทางเอียง ใช้สูตร fk = μk m g cosθ เพื่อประมาณแรงต้านแนวราบ.
ตัวอย่าง: เมื่อจัดวางสินค้าบนรางเอียง ค่าที่รู้ช่วยวางแผนแรงดึงและความปลอดภัยได้ตรงขึ้น.
| กรณี | μs / μk | แรงที่ต้องใช้ (ตัวอย่าง) |
|---|---|---|
| ลังไม้ 100 kg บนคอนกรีต | 0.45 / 0.30 | เริ่มเคลื่อน ≈ 440 N, คงการเลื่อน ≈ 290 N |
| ยางรถ (แห้ง / เปียก) | – / 0.7 / 0.5 | traction สูงขึ้นบนแห้ง, ลดลงเมื่อเปียก |
| steel/wood ในไซต์งาน (มีฝุ่น/น้ำมัน) | ผันตามสภาพ | คราบน้ำมันลด force needed และเพิ่มความเสี่ยงลื่น |
- ประโยชน์: รู้ค่า coefficient ช่วยวางแผนขนย้ายและขับขี่ในไทย
- คำเตือน: น้ำ น้ำมัน หรือ ice ลดการยึดเกาะ ต้องปรับวิธีทำงาน
พลังงาน ความร้อน และระดับจุลภาค: ทำไมพื้นผิวจึงร้อนและสึกเมื่อมี friction
เมื่อพื้นผิวถูไถกัน พลังงานจลน์จะถูกแปลงเป็นความร้อนผ่านการสั่นของอะตอมในโครงผลึกของวัสดุ. การสั่นนี้สร้างคลื่นภายในที่สลายเป็นความร้อนและเพิ่มอุณหภูมิที่บริเวณสัมผัส.
เส้นทางพลังงานของ frictional force เริ่มจากงานกล ไปยังการสั่นของแลตทิซ แล้วกลายเป็นพลังงานความร้อน. ผลคือการสึกหรอที่เพิ่มขึ้นและการเปลี่ยนสภาพของ materials หรือ substances รอบจุดสัมผัส.
- ผลต่อชิ้นงาน: อุณหภูมิสูงทำให้ผิวอ่อนตัว สึกเร็วกว่าปกติ และส่งผลต่อความทนทาน.
- ตัวอย่างเชิงประยุกต์: ball bearing เปลี่ยนการเคลื่อนจากลื่นเป็นกลิ้ง ทำให้ rolling friction ต่ำกว่าแบบลื่นหลาย times ช่วยลดการสูญเสียพลังงาน.
- เทคโนโลยีลด摩擦: ตลับลูกปืน, ฟิล์มหล่อลื่น, การเคลือบผิวขั้นสูง และการออกแบบ surface ช่วยลดการสั่นระดับ level จุลภาค.
มุมมองเชิงวิศวกรรม: การควบคุมสภาพผิวและเลือกสารหล่อลื่นที่เหมาะสมช่วยลดการเกิดความร้อน เพิ่มความปลอดภัย และยืดอายุชิ้นส่วนในระบบที่เกี่ยวข้องกับ forces เหล่านี้.
สรุป
friction คือ force ขนานผิวที่ต้านการ motion หรือความพยายามจะเคลื่อนที่ ระหว่างพื้นผิว และมีบทบาททั้งเพิ่มการยึดเกาะและทำให้สูญเสียพลังงานเมื่อต้องมี relative motion.
สูตรสำคัญคือ fs ≤ μsN และ fk = μkN. ค่า coefficient และ coefficients ถูกกำหนดจากการทดลองและเปลี่ยนตาม conditions จึงต้องระวังเมื่อนำค่าไปใช้จริง ค่า value เหล่านี้ชี้แนะแรงที่ต้องใช้และผลต่อระบบ.
static มักมากกว่า kinetic จึงอธิบายการควบคุมเบรกและการเดินให้ปลอดภัยได้ดี. ด้านวิศวกรรม ลด much friction ที่ไม่จำเป็นด้วยหล่อลื่น ลูกปืน และการออกแบบผิว.
ทดลองง่าย ๆ ช่วยประเมิน μ ก่อนประยุกต์ใช้ในงานจริง. ประมาณแรงและพิจารณาผิวซ้ำ ๆ ช่วยตัดสินใจด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพได้ดียิ่งขึ้นในหลาย ๆ times.
FAQ
แรงเสียดทานคืออะไร และมันเกิดขึ้นอย่างไร?
แรงเสียดทาน (friction) เป็นแรงที่เกิดจากการสัมผัสระหว่างสองพื้นผิวหรือของไหล ทำหน้าที่ต้านการเคลื่อนที่หรือความพยายามจะเคลื่อนที่ ระดับแรงขึ้นกับการยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลและสภาพผิว แม้พื้นที่สัมผัสจะใหญ่ขึ้น แต่แรงเสียดทานมักแปรตามน้ำหนักมากกว่า
แรงเสียดทานมีทิศทางอย่างไรเมื่อเทียบกับพื้นผิว?
ทิศทางของแรงเสียดทานขนานกับพื้นผิวและชี้ไปในทิศทางตรงข้ามการเคลื่อนที่หรือแนวแรงที่พยายามจะเคลื่อนที่เสมอ
แตกต่างระหว่างแรงเสียดทานสถิต (static) และจลน์ (kinetic) คืออะไร?
แรงเสียดทานสถิตคือแรงสูงสุดที่ต้องเอาชนะแบบไม่ให้วัตถุเริ่มเคลื่อนที่ ส่วนแรงเสียดทานจลน์คือแรงขณะวัตถุเคลื่อนที่ โดยทั่วไป μs (สูงสุด) มากกว่า μk ทำให้การเริ่มเคลื่อนที่มักต้องแรงมากกว่าการคงการเคลื่อนที่
แรงเสียดทานการกลิ้ง (rolling friction) แตกต่างจากการลื่นอย่างไร?
การกลิ้งเกี่ยวข้องกับการยุบตัวเชิงยืดหยุ่นของพื้นผิวและวัตถุ ทำให้แรงเสียดทานน้อยกว่าการลื่นหลายสิบหรือหลายร้อยเท่า จึงทำให้ล้อและลูกปืนประหยัดพลังงานกว่าเมื่อเทียบกับการลาก
สูตรพื้นฐานของแรงเสียดทานคืออะไร และตัวแปรหมายถึงอะไร?
สูตรพื้นฐานคือ fs ≤ μs N สำหรับสถิต และ fk = μk N สำหรับจลน์ โดย N เป็นแรงปฏิกิริยาปกติ (normal force) ซึ่งมักเท่ากับน้ำหนักแนวดิ่งของวัตถุ μ คือสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน
ค่าตัวอย่างของ μ สำหรับวัสดุต่าง ๆ เป็นอย่างไร?
ค่า μ แตกต่างตามวัสดุและสภาพผิว เช่น ยางบนคอนกรีตแห้งมีค่าสูง (การยึดเกาะดี) ขณะที่น้ำแข็งกับรองเท้าให้ค่าเล็กมาก เหล็กบนเหล็กแห้งสูงกว่าเหล็กมีน้ำมัน แต่ตัวเลขจริงขึ้นกับเงื่อนไข เช่น เปียกหรือมีน้ำมัน
จะประเมิน μ แบบง่ายที่บ้านได้อย่างไร?
วิธีง่ายคือเอียงระนาบเช่นหนังสือหรือไม้จนวัตถุเริ่มไถล มุมเอียง θ ที่วัตถุเริ่มไถลจะให้ μs ≈ tanθ และสำหรับการไหลต่อเนื่อง μk ≈ tanθ เมื่อวัดในสภาวะนั้น
พื้นที่สัมผัสมีผลต่อแรงเสียดทานจริงหรือไม่?
ในกรอบคลาสสิก แรงเสียดทานแทบไม่ขึ้นกับพื้นที่สัมผัส เนื่องจากแรงปฏิกิริยากระจายและความหยาบระดับจุลภาค แต่การเปลี่ยนรูปหรือการสัมผัสจริงที่จุลภาคอาจทำให้ผลต่างๆ เกิดขึ้นในโลกจริง
ทำไมพื้นเปียกหรือมีน้ำมันจึงลื่นกว่าพื้นแห้ง?
น้ำหรือน้ำมันทำหน้าที่เป็นสารแทรกที่ลดการสัมผัสตรงของโมเลกุลระหว่างพื้นผิว ลดการยึดเหนี่ยว (adhesion) และสร้างชั้นแยก ส่งผลให้ค่า μ ลดลงและพื้นผิวลื่นขึ้น
สารหล่อลื่นช่วยลดแรงเสียดทานและการสึกหรออย่างไร?
สารหล่อลื่นสร้างชั้นป้องกันระหว่างพื้นผิว ลดการสัมผัสทางตรง ลดการสึกหรอและการเกิดความร้อน เพิ่มประสิทธิภาพของระบบกลไก เช่น ใช้ในมอเตอร์หรือเกียร์
ตัวอย่างการใช้งานจริงในประเทศไทยที่เกี่ยวกับแรงเสียดทานมีอะไรบ้าง?
ตัวอย่างได้แก่ แรงที่ต้องใช้ดันลังไม้บนพื้นคอนกรีต (ต่างกันเมื่อพื้นเปียก/มีน้ำมัน), ประสิทธิภาพเบรกของรถยนต์บนถนนเปียก, และการเลือกพื้นรองเท้าให้เหมาะกับพื้นผิวในฤดูฝน
แรงเสียดทานมีผลต่อการเบรกของรถและการขับขี่อย่างไร?
μ ระหว่างยางกับถนนกำหนดแรงฉุดและแรงเบรก พื้นเปียกลด μ ทำให้ระยะเบรกเพิ่ม จึงต้องผ่อนแรงเบรกใกล้หยุดเพื่อป้องกันล้อล็อกและการสูญเสียการยึดเกาะ
ทำไมแรงเสียดทานทำให้เกิดความร้อนและสึกหรอ?
เมื่อพื้นผิวเสียดสีกัน พลังงานจลน์บางส่วนแปลงเป็นพลังงานภายในและความร้อน ผ่านการสั่นของโครงสร้างอะตอม ผลคือวัสดุร้อนและสึกหรอในระดับจุลภาค
เทคโนโลยีใดช่วยลดแรงเสียดทานในระบบกลไกได้บ้าง?
การใช้ตลับลูกปืน สารหล่อลื่นขั้นสูง พื้นผิวเคลือบลดการเสียดสี เช่น DLC (diamond-like carbon) และวัสดุคอมโพสิต ช่วยลดการสูญเสียพลังงานและยืดอายุชิ้นส่วน
มีคำแนะนำเชิงปฏิบัติสำหรับการเพิ่มหรือลดแรงเสียดทานในงานประจำวันไหม?
หากต้องการยึดเกาะเพิ่ม เช่น รองเท้า เลือกพื้นยางหนาและลายดอกยาง หากต้องการลดแรงเสียดทาน เช่น ล้อ ใช้ลูกปืนหรือสารหล่อลื่นที่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงผิวเปียกหรือน้ำมันเมื่อต้องการการยึดเกาะ


