ทุกครั้งที่เปลี่ยนให้ใส่ใจทุกข์ก่อนเสมอ… ถ้าทำอย่างนั้น ก็ไม่เป็นการบริกรรม หรือไม่เป็นบัญญัติผุดขึ้นมาในใจว่า เราต้องเปลี่ยนเพื่อแก้ทุกข์ อันนี้เป็นปรมัตถ์ล้วนๆ ที่เข้าไปสัมผัสทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้นจริงๆ ไม่ใช่สักแต่คำพูดตามคำของอาจารย์ว่าเปลี่ยนเพื่อแก้ทุกข์… การไปปฏิบัติวิปัสสนา ก็เพื่อจะละกิเลส …แต่คนเราก็ไม่ทราบว่าละกิเลสที่ไหน …กิเลสอยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบ …อิริยาบถน่ะจะไปพิจารณาทำไม ..ก็ไม่เห็นจะมีกิเลสอะไรเลย อิริยาบถก็เป็นของธรรมดา …
เพราะสิ่งแวดล้อมต่างๆ สมัยนี้นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญ….ที่จะมาทำลายสติปัญญา… ปลิโพธิความกังวลต่างๆ ที่จะมาถึงจิต…ให้กลับไปทำเรื่องเก่าๆ ที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติ…จำเป็นจะต้องตีตัวให้ห่างไกล… มิฉะนั้นจะเป็นอุปสรรคขัดขวางต่อการปฏิบัติ… จากพุทธภาษิตในธรรมบทขุททกนิกายนี้ย่อมชี้ให้เห็นชัดอยู่ในมวลมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายในโลกโดยทั่วไปได้แล้วว่า… ผู้ที่มิได้เกิดวิปัสสนาปัญญามองเห็นความจริงของขันธ์โลกย่อมพากันดิ้นรนขวนขวายแสวงหา…
ภูมิที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดปัญญาก็คือสภาวะความจริงที่ปรากฏอยู่ตามอารมณ์ …และอิริยาบถเท่าที่มนุษย์และสัตว์อาศัยอยู่ทุกวันนี้… แต่นั่นแหละท่านทั้งหลาย …คนในโลกนี้จะมีใครสักกี่คนที่เขาจะมาเรียนเรื่องนี้ …แม้พระเณรเองยังไม่อยากเรียน…เพราะเรียนแล้วไม่ได้อะไรที่เป็นปัจจัยของกิเลส… เรื่องมันเป็นอย่างนี้ เช่นทุกวันนี้ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม…
ขอทราบความหมายของ “โยนิโสมนสิการ” พร้อมตัวอย่างที่เป็นการกระทำ
ในขณะนั้นผู้ปฏิบัติจะไม่รู้สิ่งใดที่นอกเหนือไปจากทุกข์ …ในตอนนี้แหละที่เรียกว่า… เห็นโลกโดยความเป็นทุกข์ …มีแต่ทุกข์มีแต่โทษ….โดยหาประโยชน์อะไรไม่ได้เลย… เพราะความดับไปของอิริยาบถเก่าเป็นมรณัคคิ คือ…เป็นไฟ คือ…มรณะ ตายไปทุกๆ ขณะ …เป็นเหมือนไฟกองเก่าเป็นปัจจัยให้เกิดไฟกองใหม่ คือ… ชาตยัคคิ คือ ชาติความเกิดของอิริยาบถใหม่ และเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็มิได้ยืนยงคงถาวรอะไร… ประเดี๋ยวก็เปลี่ยนไปแปลงไป ไม่มีความคงที่อยู่ได้ในสภาพเดิม…นี่แหละที่ว่า วิปริณมตฺโถ มีอรรถว่า มีความเปลี่ยนแปลงไปเป็นนิตย์… ตรงนี้หมายความว่า ผู้ปฏิบัติจำเป็นจะต้องรู้เหตุผลของการเดิน ถ้าไม่รู้…จะเป็นเหตุให้อภิชฌา คือ โลภะเข้าครอบงำจิตใจได้…
- การไปปฏิบัติวิปัสสนา ก็เพื่อจะละกิเลส …แต่คนเราก็ไม่ทราบว่าละกิเลสที่ไหน …กิเลสอยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบ …อิริยาบถน่ะจะไปพิจารณาทำไม ..ก็ไม่เห็นจะมีกิเลสอะไรเลย อิริยาบถก็เป็นของธรรมดา …
- เพราะสิ่งแวดล้อมต่างๆ สมัยนี้นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญ….ที่จะมาทำลายสติปัญญา…
- เพราะอิริยาบถนั้นมีทั้งเก่าและใหม่…
- เหมือนเราเดินตามหากันในโลกที่มีความกลม..
- ” เจริญสืบเนื่องด้วยความถึงพร้อมสมบูรณ์อย่างแท้จริง.
- ขอเรียนว่าผู้จะเข้าปฏิบัติต้องทำความเข้าใจภูมิของวิปัสสนาก่อน…
อิริยาบถเก่าเป็นทุกขเวทนา …คือความปวดเมื่อย อิริยาบถใหม่ คือ …สังขารทุกข์ซึ่งมีความละเอียดกว่ามาก… ถ้าผู้ปฏิบัติมีความรู้สึกไม่ทัน ก็จะทำให้เกิดความพอใจในอิริยาบถใหม่ ทั้งๆ ที่มันยังไม่ทันเกิด อันนี้ท่านเรียกว่า… เพราะอิริยาบถใหม่เป็นปัจจัยให้เกิดอภิชฌา อิริยาบถเก่าเป็นปัจจัยให้เกิดโทมนัส… ชาติความเกิดเป็นปฐมเหตุของทุกข์ทั้งหมด… และจัดเป็นลักษณะของขันธ์…ผู้ที่จะรู้ถึงลักษณะของขันธ์ก็มีแต่ผู้ที่เกิดวิปัสสนาปัญญาเท่านั้น…
ไร้สังกัด
ก็การที่จะทำความบริสุทธิ์หมดจดนั้นพระพุทธศาสนาของเราสอนไว้อย่างไร… ข่าวสดประชาชาติธุรกิจสุดสัปดาห์ศิลปวัฒนธรรมเทคโนโลยีชาวบ้านเส้นทางเศรษฐีสำนักพิมพ์มติชนศูนย์ข้อมูลมติชนมติชนอคาเดมีKhaosod EnglishMatichon Investor Relationร่วมงานกับเรา. เหมือนเราเดินตามหากันในโลกที่มีความกลม.. แต่เราไพล่ไปเดินตามหลังหากันอย่างนี้ …แล้วอีกสักเมื่อไรเล่า จึงจะได้มีโอกาสพบกันได้… เป็นของเศร้าหมอง …แปดเปื้อนไปด้วยของเศร้าหมองรอบด้าน…ทั้งเศร้าหมองข้างในและข้างนอก …ของที่มีอยู่ในตัวเองก็เศร้าหมอง ที่อยู่นอกตัวก็เศร้าหมอง… การที่เรามีความอบอุ่นใจว่า …เราสบายมีความสุขกายสุขใจอยู่ขณะนี้ …ถ้าจะพูดกันตามความเป็นจริงแล้ว …มีสุขที่ตรงไหนเพราะในเมื่อขันธ์ ๕ รูปนามซึ่งเป็นตัวทุกข์กำลังปรากฏอยู่แล้วจะเป็นสุขที่ตรงไหน…
อีกประการหนึ่ง การเดิน ยืน นั่ง และนอน ในพระบาลีมหาสติปัฏฐานตรัสไว้เพียงว่า คจฺฉนฺโต วา คจฺฉาปีติ ปชานาติ… อรรถกถาท่านก็ขยายความไว้ว่าเดินนั้น ใครเดิน … เดินไม่มีสัตว์หรือบุคคลเดิน …แต่เมื่อจิตคิดว่าจะเดินเกิดขึ้น …ทำให้เกิดลมซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย… แล้วก็ทำให้กายเอนไปข้างหน้าที่สมมติเรียกว่า เดิน …
ขอทราบความหมายของ “โยนิโสมนสิการ” พร้อมตัวอย่างที่เป็นการกระทำ
เพราะอิริยาบถนั้นมีทั้งเก่าและใหม่… ในทางปฏิบัติก็ให้กำหนดการเดิน คืออาการที่เท้าไหวไปขณะเดียว…มิใช่กำหนดลมหรือจิตที่คิดว่าจะเดิน… เพราะการเดินในอรรถกถาท่านเรียกว่า วิญญัติรูป ซึ่งก็มีอยู่ในรูป ๒๘ แล้ว …แต่เพื่อเข้าใจง่ายเราจึงเรียกเสียใหม่ว่า รูปเดิน เท่านั้น…
แนวที่ ๑ เรียกว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีทั้งหมด ๑๔ หมวด… มีหมวดของลมหายใจเข้าออก…เป็นต้น เฉพาะในที่นี้จะพูดถึงเรื่องของงานเกี่ยวกับวิปัสสนาล้วนๆ คือ… เมื่อมีความรู้สึกว่าอยากเปลี่ยนนั่นก็คือมีตัณหาเกิดขึ้นแล้ว คืออยากเปลี่ยนอยากเดินเกิดขึ้น …เมื่อตัณหาเกิดขึ้นแล้ว ทิฏฐิก็เห็นว่าเดินเป็นสุข เดินให้ความสบาย…ทิฏฐิก็เข้าอีก … เมื่อได้แล้วก็ติดอยู่ในโลก ไม่สามารถหลุดพ้นออกจากโลกไปได้… รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ…อันเป็นที่น่าใคร่น่าพอใจ ซึ่งเป็นเหมือนบ่วงมารที่มีกับดักอยู่ในที่ทั่วไป… จะต้องมีคุณสมบัติตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสแก้ปัญหาแก่เทพยดาไว้ในสังยุตบาลีฉบับมจร.
เพราะอิริยาบถใหม่เป็นปัจจัยให้เกิดอภิชฌา …อิริยาบถเก่าเป็นปัจจัยให้เกิดโทมนัส… เพราะมีความรู้ไม่เท่าทันปัจจุบัน คือตัวโมหะเป็นรากเหง้า…เพราะอิริยาบถเก่า มันมีการบีบคั้นให้เกิดอาการปวดเมื่อยมากขึ้นๆ โดยกฏธรรมดานั่นเอง… ท่านจึงได้เรียกว่า ปีฬนตฺโถ มีอรรถว่าเบียดเบียนอยู่เป็นนิตย์ … เหตุของความสุขที่โลกต้องการก็คือ รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส …ตลอดทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ความต้องการทุกๆ อย่างเท่าที่ชาวโลกต้องการ…
ฉะนั้นจึงเป็นคนละทางไม่ใช่ทางสายเดียวกัน… และในโลกนี้จะมีใครบ้างที่จะมาดูทุกข์ …มีแต่เขาหนีทุกข์ทั้งนั้น มีทุกข์อยู่ที่ไหน …เขาก็ไม่อยากไปที่นั้น ต่างพากันหลีกหนีให้ห่างไกลได้มากเท่าใดก็ยิ่งเป็นการดี… แต่ถ้าเราจะพูดกันตามความจริงแล้ว …ถ้าเราจะหนีทุกข์อยู่ในโลกนี้หรือโลกไหนๆ ก็ตามเถิด… เราหันมาพูดถึงเรื่องของการสร้างความบริสุทธิ์หมดจดตามแนวแห่งพระพุทธศาสนากัน… ในเรื่องดังกล่าวนี้ ก่อนอื่นเราควรตั้งเป็นประเด็นปัญหาขึ้นก่อนว่า…
มิใช่ว่ารูปเดินไม่มีรูป ๒๘ เท่าที่บางอาจารย์คัดค้าน… รูปธรรม และนามธรรม อาศัยกันเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย …ผู้ปฏิบัติจำเป็นจะต้องเจริญสติปัญญาให้เกิดขึ้นในขณะรูปหรือนามนั้นปรากฏ… แม้วิปัสสนาปํญญาก็ไม่ได้เกิดที่ไหน …ความจริงก็เกิดที่ทุกข์นี่แหละ… ขณะใดไม่เข้าใจทุกข์…ว่าเป็นทุกข์… ตัณหาก็เกิดอยากจะได้ทุกข์ …แต่ถ้าขณะใดมีปัญญารู้ทุกข์…ว่าเป็นทุกข์ ปัญญาก็เกิดขึ้นทำลายความอยากได้คือ ตัณหา …ต่างแต่ทว่าผลัดกันเกิดขึ้นคนละวาระเท่านั้น…