ล่าสุดการ ฝึก ตาม หลัก สติปัฏฐาน 4 คือ การ ที่ จิต ปรารถนา ตาม...

การ ฝึก ตาม หลัก สติปัฏฐาน 4 คือ การ ที่ จิต ปรารถนา ตาม ข้อ ใด

ต้องอ่าน

14. โยนิโสมนสิการ ทำให้เกิดปัญญาชนิดใด ก. Copyright ©2016.

การ ฝึก ตาม หลัก สติปัฏฐาน 4 คือ การ ที่ จิต ปรารถนา ตาม ข้อ ใด

อนึ่ง ส่วนนี้ในพระไตรปิฎกของมหายานไม่มี เพราะตามมหาโคสิงคสาลสูตรพระเถระผู้นำในสังคายนาครั้งที่ 1ของเถรวาท ส่วนมากท่านเป็นลูกศิษย์พระสารีบุตรอัครสาวกด้วย ฉะนั้น ท่านจึงแสดงมหาสติปัฏฐานสูตรตามที่ฟังมาจากพระสารีบุตร เพราะพระพุทธเจ้ายกย่องธรรมะที่พระสารีบุตรแสดงให้เทียบเท่ากับที่พระองค์แสดง, ส่วนทางนิกายอื่นรวมถึงมหายานนั้น สังคายนากันโดยไม่มีพระเถระเหล่านั้นอยู่ด้วย ฉะนั้น พระสูตรฝั่งมหายานจึงไม่มีส่วนที่มาจากพระสารีบุตร ทั้งในสูตรนี้ และทั้งอภิธรรมด้วย. มหาอรรถกถาแบบที่อธิบายด้วยสีหวิกีฬิตนัย จะอยู่ในอรรถกถาของแต่ละบรรพะ เพราะสติปัฏฐาน 4 จัดอยู่ในสีหวิกีฬิตนัย มหาสติปัฏฐานสูตรจึงแสดงตามสีหวิกีฬิตนัย, ฉะนั้น ในอรรถกถาของแต่ละบรรพะจึงต้องอธิบายองค์สภาวะธรรมของบรรพะตามลำดับสีหวิกีฬิตนัย คือ แสดงลำดับครบถ้วนตั้งแต่การเชื่อมโยงกับบรรพะก่อน ไปจนวิธีการทำกรรมฐานจนถึงขยญาณ ตามลำดับในพระบาลีแห่งมหาสติปัฏฐานสูตร, ไม่ใช่การจัดโปรแกรมเฉพาะบุคคลแบบติปุกขลนัย. จตุธาตุววัตถานแสดงต่อจากอานาปานัสสติ,อิริยาบถ,และสัมปชัญญบรรพะ เพราะสมถวิปัสสนาเป็นยุคนัทธธรรม ต้องเจริญคู่กัน. ฉะนั้น แสดงอานาปานสติในอิริยาบถใหญ่น้อยแล้ว จึงแสดงรูปกรรมฐานด้วยจตุธาตุววัตถานต่อกัน. จะเห็นได้ว่า ในอรรถกถาของ 3 บรรพะจึงกล่าวถึงจตุธาตุววัตถานวิปัสสนาในฐานะรูปกรรมฐานไว้ แม้ว่าวิปัสสนาในรูปกรรมฐานควรจะเริ่มที่บรรพะนี้ก็ตาม นั่นก็เพราะเหตุที่สมถวิปัสสนาเป็นยุคนัทธธรรมนั่นเอง.

เจริญกายานุปัสสนาก็พ้นโลกได้ เจริญเวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ธัมมานุปัสสนาก็พ้นโลกได้ทั้งสิ้น

อย่างอานาปานสติบรรพะนี้ ท่านแสดงว่าเป็นสมถยานิก. ปฏิกูลมนสิการบรรพะ – แสดงวิธีการทำกรรมฐานด้วยการระลึกถึงแต่อวัยวะ 32 หรือที่เรียกว่า อาการ 32. บรรพะนี้เหมาะกับสมถะยานิก เพราะมีอารมณ์เป็นอวัยวะสมูหฆนอัตถบัญญัติจึงสามารถบรรลุโลกิยอัปปนาได้. คำอธิบายที่เหลือดูคำอธิบายอานาปานบรรพะข้างบน. จาก​การที่สติปัฏฐาน​เป็น​ได้​ทั้ง​สมถะ​และ​วิปัสสนา​จึง​ทำ​ให้​ทราบ​ได้ว่าสติปัฏฐานมี​ทั้ง​บัญญัติ​และ​ปรมัตถ์​เป็น​อารมณ์​ ​เพราะ​สมถะ​ ​เช่น​ ​​ นิมิต​ ​ซึ่ง​เป็น​ที่ทราบ​กัน​ดีว่านิมิตเป็น​บัญญัติ​, ​ส่วน​วิปัสสนา​ ​เช่น​ ​อิริยาบถบรรพะ​ ​ก็มีอิริยาบถ​และไตรลักษณ์เป็น​ต้น​ ​ซึ่ง​เป็น​บัญญัติ​ ​เป็น​อารมณ์​ได้​. ก่อนสติปัฏฐานสูตร​ ​ใน​มัชฌิมนิกาย​ ​มีสูตรชื่อว่า​ สัมมาทิฏฐิสูตร ​ซึ่ง​ท่านพระสารีบุตรบอกกรรมฐาน​ไว้​มากกว่าสติปัฏฐานสูตรอีก​ ​โดย​กล่าว​ไว้​ถึง​ 32 ​กรรมฐาน​ ​ใน​ขณะที่สติปัฏฐานสูตรกล่าว​ไว้​เพียง​ 21 ​กรรมฐาน​เท่า​นั้น​.

การ ฝึก ตาม หลัก สติปัฏฐาน 4 คือ การ ที่ จิต ปรารถนา ตาม ข้อ ใด

มีประเด็นว่า มหาอรรถกถาไม่ให้ปฏิบัติวิปัสสนาโดยใช้อิริยาบถใหญ่และอิริยาบถย่อย เพราะอิริยาบถไม่ใช่สัมมสนรูป, แต่พระมหาสิวะได้อธิบายวิธีที่สามารถนำมาทำวิปัสสนาได้ โดยการแยกรูปปรมัตถ์ออกจากอิริยาบถที่เป็นอัตถบัญญัติ แล้วทำวิปัสสนาเฉพาะในสัมมสนรูป. อย่างไรก็ตาม เมื่อวิเคราะห์โดยหลักจตุพยูหหาระแล้ว วัตถุประสงค์ของบรรพะนี้ คือ การเน้นให้โยคีทำกรรมฐานที่เรียนมาเช่นอานาปานัสสติเป็นต้นตลอดเวลาไม่ขาดช่วง, ฉะนั้น มติของมหาอรรถกถาจึงอธิบายโครงสร้างของสูตรได้ตรงตามพุทธประสงค์มากกว่า. ส่วนมติของพระมหาสิวะนั้นก็ถูกต้องตามหลักธรรมะและช่วยอธิบายเรื่องสมถยานิกและวิปัสสนายานิกที่มาในมหาอรรถกถาด้วย แม้จะไม่เข้ากับโครงสร้างของสูตรนี้ก็ตาม.

อริยวงศ์ Four ประการ

11. คำว่า “ตัณหาจริตอย่างอ่อน” และ”ทิฏฐิจริตอย่างอ่อน”นั้น สมัยนี้มีการพูดถึงกันมาก เพราะเอามาจากอรรถกถาสติปัฏฐานสูตรเป็นต้นนั่นเอง มาจากศัพท์ว่า “มนฺทสฺส ตณฺหาจริตสฺส” กับ “ทิฏฺฐิจริตสฺส มนฺทสฺส” ซึ่งดูจากฏีกาวิสุทธิมรรค และเนตติปกรณ์ รวมถึงในอรรถกถาของทีฆนิกายแล้ว ถ้าจะอ่านให้รู้เรื่องควรเข้าใจคำนี้ว่าเป็น “ตัณหาจริต ปัญญินทรีย์แก่กล้า/ปัญญินทรีย์อ่อนหัด” กับ “ทิฏฐิจริต ปัญญินทรีย์แก่กล้า/ปัญญินทรีย์อ่อนหัด”. sixteen. จิตตบรรพะ – แสดงวิธีการทำกรรมฐานด้วยจิตด้วยการวิเคราะห์สัมปยุตธรรมของจิตปัจจุบันสันตติ เพื่อทำฆนะวินิพโภคะ (การแยกปัจจัยปัจจยุปบันที่ซับซ้อน)ในอรูปธรรม. บรรพะนี้เหมาะสำหรับวิปัสสนายานิก เพราะไม่สามารถบรรลุอัปปนาได้ เนื่องจากมีจิตหลายดวงเป็นอารมณ์ (แต่วิญญาณัญจายตนอัปปนา มีอารมณ์แค่อากาสานัญจายตนจิตอย่างเดียวเท่านั้น). ธาตุมนสิการบรรพะ – แสดงวิธีการทำกรรมฐานด้วยธาตุ 4อย่างย่อ คือ แสดงเพียงธาตุดิน (m-มวล) ธาตุน้ำ (a-ความดึงดูด,ความเร่ง,ความหนืด) ธาตุไฟ (t-อุณหภูมิ) ธาตุลม (v,u-ความเร็ว,ความไหว) ซึ่งต่างจากมหาหัตถิปโทปมสูตรที่แสดงไว้อย่างละเอียดกว่า.

  • กล่าวคือ เมื่อเรียนกรรมฐานมีอานาปานัสสติเป็นต้นแล้ว ก็ให้บริหารให้เจริญขึ้นต่อเนื่องอยู่ตลอดทั้งอิริยาบถใหญ่และอิริยาบถย่อย.
  • อนึ่ง ข้อน่าสังเกต คือ ฉ.
  • คำอธิบายที่เหลือดูคำอธิบายอิริยาบถบรรพะข้างบน.
  • 21.
  • สัจจะบรรพะ – แสดงวิธีการทำกรรมฐานด้วยการใช้สัมมาทิฏฐิในมรรคสัจหาเหตุเกิด (สมุทัยสัจ) และเหตุดับ (นิโรธสัจ) ของทุกข์.

ทั้งสองมติไม่ได้ขัดแย้งกันและเป็นประโยชน์ทั้งคู่ พระพุทธโฆสาจารย์จึงไม่ตัดสินถูกผิดใดๆ ในสองมตินี้ เพียงแต่ให้มติของมหาอรรถกถาเป็นมติหลัก เพราะมติของมหาอรรถกถาเข้ากับโครงสร้างของสูตรมากกว่า. วิสุทธิมรรคกล่าวว่า อานาปานสติเป็นกรรมฐานสำหรับโมหจริต (คนขี้ลืม). และกล่าวว่า สติมีหน้าที่ทำให้จิตเจตสิกไม่หลงลืมอารมณ์ (อสัมโมหรสา), ดังนั้น ถ้ายังเป็นคนขี้หลงขี้ลืมอยู่ สติก็จะไม่สามารถเจริญได้. จะเห็นได้ว่า กรรมฐานอื่นไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้สมบูรณ์เท่าอานาปานัสสติเลย, ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงแสดงอานาปานบรรพะก่อน เพราะเกื้อกูลต่อการเจริญสติมากที่สุด. 12. การแสดงข้อมูลสำหรับสะสมอบรมสติปัฏฐานไว้ถึง 21 แบบ ซ้ำกันไปซ้ำกันมาในเรื่องเดียวกันอยู่อย่างนี้ เพราะทรงแสดงตามนิสัยสันดานของแต่ละคนที่มีความรู้ความเข้าใจทางด้านข้อมูลและภาษาเป็นต้นมาไม่เหมือนกัน หากทรงแสดงย่อเพียงแบบใดแบบหนึ่ง ผู้ฟังบางส่วนอาจไม่สามารถทำความเข้าใจจนบรรลุได้.

มรรค 8 หนทางปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์ 8 ประการ

อัปปนาสามารถเกิดได้ง่ายกว่าในอิริยาบถนั่ง, ถ้าท่านแสดงสองบรรพะนี้เป็นสมถะด้วย โยคีผู้ใหม่จะเดินบ้าง นอนบ้างทำสมถะ ซึ่งเป็นอิริยาบถที่ยากต่อการทำให้เกิดอัปปนา. แม้ผู้ที่ได้วสีแล้ว อิริยาบถนั่งก็ยังเป็นอิริยาบถที่เข้าอัปปนาได้ง่ายกว่า. อย่างไรก็ตาม สมถยานิกผู้ใหม่เมื่อเริ่มทำสมถะก็ควรทำทั้งอิริยาบถใหญ่และย่อยเช่นกันเพื่อรักษานิมิตกรรมฐาน เพียงแต่เน้นที่อิริยาบถนั่งเพราะจิตจะตั้งมั่นได้ง่ายกว่า กรรมฐานจะเจริญขึ้นง่ายและไวกว่าอิริยาบถอื่น. ในมหาสติปัฏฐานสูตรท่านได้แสดงเรื่องเกี่ยวกับสติปัฏฐานไว้อย่างละเอียด โดยแบ่งแสดงออกเป็นข้อ ๆ เรียกว่า ปพฺพ(ปัพพะ,บรรพะ, ข้อ, แบบ) โดยในพระบาลีใช้คำว่า อปิจ(อะปิจะ – อีกอย่างหนึ่ง) เป็นเครื่องหมายในการแบ่งสติปัฏฐาน 4 อย่างลงไปอีก รวมทั้งสิ้น 21 บรรพะ เริ่มที่อานาปานบรรพะและไปสิ้นสุดที่สัจจบรรพะ.

อนึ่ง ข้อน่าสังเกต คือ ฉ. ฉัฏฐสังคายนาของพม่า สติปัฏฐานสูตร ในมัชฌิมนิกาย ชื่อของพระพุทธพจน์จะใช้ มหาสติปัฏฐานสูตร ส่วนในอรรถกถาจะใช้แค่สติปัฏฐานสูตร. เมื่อตรวจสอบกับที่อื่นๆ ในอรรถกถาก็พบว่า เมื่อสุมังคลวิลาสินี อรรถกถาทีฆนิกายอ้างถึงมหาสติปัฏฐานสูตรว่าจะอธิบายในสูตรนี้ ท่านก็จะใช้คำว่า “มหาสติปฏฺฐานสุตฺต”. แต่ถ้าเป็นปปัญจสูทนี อรรถกถาของมัชฌิมนิกาย เวลาอ้างท่านจะใช้แค่ว่า “สติปฏฺฐานสุตฺต” ไม่ใช่ “มหาสติปฏฺฐานสุตฺต”. ซึ่งเป็นอย่างนี้ทั้งในอรรถกถาและฏีกาของทั้ง 2 คัมภีร์ และตรงกันทั้ง ฉบับไทย ทั้ง ฉบับพม่า. จึงมีความเป็นไปได้ว่า ท่านใช้ชื่อสติปัฏฐานสูตรกับมหาสติปัฏฐานสูตร ตามแบบที่ไทยใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ โดยแยกอย่างนี้มาตั้งแต่โบราณแล้ว.

บทความที่น่าตื่นเต้นมากขึ้น  หลวง ปู่ อํา คา วัด บ้าน กลาง

ส่วนสติสัมปชัญญะที่ตามดู จะอยู่หลังอนุปัสสีและอิติศัพท์ ซึ่งส่วนนี้ของแต่ละบรรพะจะให้ตามดูอารมณ์กรรมฐานนั้นๆ ทั้งของตนเองและของผู้อื่น แต่ตอนจบจะเหมือนกัน คือ ภังคญาณที่พิจารณาอริยสัจในสติดวงที่เพิ่งดับไปหลังทำกรรมฐานในอารมณ์ที่แสดงไว้ในส่วนแรกของบรรพะ. ​เพราะ​อิริยาบถ​ทั้ง​น้อย​และ​ใหญ่​ไม่​ใช่​สัมมสนรูป จึงไม่ใช่อารมณ์ของวิปัสสนา, นิวรณ์เป็นปหาตัพพธรรม ควรข่มให้ได้ก่อน ไม่ใช่มัวแต่สัมมสนะ แล้วปล่อยให้นิวรณ์เกิด,​ ​ส่วน​โพชฌงค์​ใน​ที่นี้ท่านหมาย​ถึง​โลกิยโพชฌงค์​ ​ซึ่ง​ถ้า​หากกำ​หนด​ให้​เบื่อหน่าย​แล้ว​ก็​จะ​ไม่​คิดเจริญต่อ​ ​ฉะ​นั้น​จึง​ไม่​ควรกำ​หนดตั้งแต่​แรก​. 17. นีวรณบรรพะ – แสดงวิธีการทำกรรมฐานด้วยการหาเหตุเกิดและเหตุดับของนิวรณ์ เพื่อดับนิวรณ์ทั้งปวงโดยการทำสมถะเข้าฌาน แล้วทำให้ไม่เกิดขึ้นอีกต่อไปด้วยการทำปริญญากิจตามขันธบรรพะ. บรรพะนี้และบรรพะที่เหลือเหมาะสำหรับวิปัสสนายานิก เพราะไม่สามารถถบรรลุอัปปนาได้ เนื่องจากการหาเหตุเกิดความดับไม่ใช่ทำให้ได้อัปปนา. 15.

อย่างไรก็ตาม มหาอรรถกถามองว่าอิริยาบถบรรพะและสัมปชัญญะบรรพะใช้ประกอบกับบรรพะอื่นๆ ไม่ใช่อารมณ์ที่ต้องท่องจำเพื่อนำมาใช้ทำวิปัสสนากรรมฐานโดยตรง เพราะอิริยาบถใหญ่น้อยเป็นอสัมมสนรูป (รูปที่ไม่เหมาะทำวิปัสสนา), แต่จัดว่าเหมาะกับวิปัสสนายานิกเพราะอสัมโมหสัมปชัญญะในสัมปชัญญบรรพะนั้นใช้ศัพท์ว่า ปชานาติ, ซึ่งเป็นศัพท์เดียวกับวิปัสสนาบรรพะส่วนใหญ่ มหาอรรถกถาจึงอธิบาย 2 บรรพะนี้ โดยใช้เนื้อหาในวิปัสสนาบรรพะอื่นมาทำฆนวินิพโภคะ 2 บรรพะนี้เพื่อให้ได้นามรูปปรมัตถ์มาทำวิปัสสนา. ในสติปัฏฐานสูตรจะเน้นให้พิจารณาทั้งสิ่งที่เป็นของตนและของคนอื่นเพราะมี ข้อความว่า “พหิทฺธา วา กาเย กายานุปสฺสี วิหรติ-เป็นผู้หมั่นพิจารณากายในกายอยู่” อยู่ในทุกบรรพะทั้ง 21 บรรพะเลยทีเดียว ซึ่งพระอรรถกถาและพระฏีกาจารย์ก็ย้ำไว้อีกในอรรถกถาของทุกบรรพะเช่นกันว่า “พิจารณาภายนอก หมายถึง ของคนอื่น”. คำนี้ก็สอดคล้องกับสูตรทั่วไป เช่นที่เรามักได้ยินคำว่า “รูปที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน ภายใน ภายนอก หยาบ ละเอียด เลว ประณีต ไกล ใกล้” เป็นต้น. ใน​อรรถกถา​และ​ฏีกาท่านอธิบายคำ​ว่า​ ​เอกายนมรรค​ ​ไว้​ว่า​ ​หมาย​ถึง​ ​ทางมุ่งสู่พระนิพพานอย่างเดียว​. ​ซึ่ง​จาก​คำ​อธิบาย​และ​ตัวอย่าง​ใน​ฏีกา​นั้น​ ​ทำ​ให้​ทราบ​ได้​ว่า​ ​เอกายนมรรคอาจ​จะ​มีข้อปฏิบัติหลายอย่าง​ได้​ ​เช่น​ ​ในสติปัฏฐานสูตรก็มีกรรมฐาน​ถึง​ 21 ​ข้อ​ ​ใน​​สัมมาทิฏฐิสูตรก็มีกรรมฐาน​ถึง​ 32 ​ข้อ​ ​เป็น​ต้น​. อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร​ ​ใน​ทีฆนิกายนั้น​ ​บางบรรพะ​ ​เช่น​ อรรถกถาของสัมปชัญญบรรพะ ​เป็น​ต้น​ ​จะมีขนาด​สั้นกว่า​ อรรถกถาของสติปัฏฐานสูตร​ ​ใน​มัชฌิมนิกาย ​เพราะ​ท่าน​ได้​อธิบาย​ไว้​ก่อน​แล้ว​ในอรรถกถาของสามัญญผลสูตรเป็น​ต้น​ ​ท่าน​จึง​ไม่​กล่าว​ซ้ำ​อีก​.

การ ฝึก ตาม หลัก สติปัฏฐาน 4 คือ การ ที่ จิต ปรารถนา ตาม ข้อ ใด

18. ขันธบรรพะ – แสดงวิธีการทำกรรมฐานด้วยการหาเหตุเกิดและเหตุดับของขันธ์ทั้งปวง เพื่อดับขันธ์ทั้งปวงโดยไม่มีส่วนเหลือด้วยการทำสมุจเฉทปหานในเหตุเกิดและเหตุดับ คือ อวิชชาสังโยชน์และตัณหาสังโยชน์ตามอายตนบรรพะ. พระมหาสิวะกับมหาอรรถกถาไม่ได้ขัดแย้งกันคำอธิบายของมหาอรรถกถาในมหาสติปักฐานสูตรมีสองแบบ คือ แบบที่อธิบายด้วยสีหวิกีฬิตนัย และแบบที่อธิบายด้วยติปุกขลนัย. สติปัฏฐานสูตร​ ​คือ​ ​พระสูตรที่กล่าว​ถึง​วิธี​เจริญสติปัฏฐาน​ ​สติปัฏฐานสูตรนี้อาจมีอยู่ในพระไตรปิฎกหลายที่​แล้ว​แต่​ท่านจะ​ตั้งชื่อ​ ​แต่ที่นิยมเอามาพูด​ถึง​ ​จะ​อยู่​ใน​พระสุตตันตปิฎก​ ​มัชฌิมนิกาย​ ​มูลปัณณาสก์​ ​กล่าว​ถึง​วิธี​เจริญสติปัฏฐาน​ 21 ​บรรพะ​เหมือน​ใน​ทีฆนิกายนั่นเอง​. 19. อายตนบรรพะ – แสดงวิธีการทำกรรมฐานด้วยการหาเหตุเกิดและเหตุดับของสังโยชน์ เพื่อทำให้สังโยชน์ทั้งปวงเกิดไม่ได้อีกต่อไป ด้วยการทำภาเวตัพพกิจตามโพชฌังคบรรพะ.

การ ฝึก ตาม หลัก สติปัฏฐาน 4 คือ การ ที่ จิต ปรารถนา ตาม ข้อ ใด

สรุปว่า อารมณ์เหมาะกับสมถยานิก แต่ก็สามารถนำไปทำวิปัสสนาได้เช่นกัน. อิริยาปถบรรพะ – แสดงวิธีการทำกรรมฐานที่เรียนมาใดๆ ทั้งสมถะและวิปัสสนาให้ต่อเนื่องทุกอิริยาบถใหญ่ทั้ง four อิริยาบถ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน. กล่าวคือ เมื่อเรียนกรรมฐานมีอานาปานัสสติเป็นต้นแล้ว ก็ให้บริหารให้เจริญขึ้นต่อเนื่องอยู่ตลอดทั้งอิริยาบถใหญ่และอิริยาบถย่อย. อานาปานบรรพะ – แสดงวิธีทำกรรมฐานด้วยการตามดูลมหายใจ หรือ ที่เรียกว่า อานาปานสติ โดยพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้อย่างย่อเฉพาะฝ่ายสมถะ four ข้อ จาก 16 ข้อ ในอานาปานัสสติสูตร.

บทความล่าสุด