ล่าสุดธรรม เหล่า ใด เกิด แต่ เหตุ พระ ตถาคต ตรัส เหตุ แห่ง ธรรม...

ธรรม เหล่า ใด เกิด แต่ เหตุ พระ ตถาคต ตรัส เหตุ แห่ง ธรรม เหล่า นั้น และ การ ดับ เหตุ แห่ง ธรรม เหล่า นั้น พระ มหา สมณะ มี วา ทะ อย่าง นี้ เป็น ธรรม ที่ บุคคล ใด แสดง กับ บุคคล ใด เป็น ครั้ง แรก

ต้องอ่าน

ในวันหนึ่ง อยู่ในที่ลับคิดว่า เราย่อมรู้อัตภาพในโลกนี้เท่านั้น, หารู้อัตภาพในโลกหน้าไม่ อันธรรมดาความตายของสัตว์เกิดแล้วทั้งหลาย เป็นของเที่ยง ควรที่เราบวชเป็นบรรพชิตอย่างหนึ่ง ทำการแสวงหาโมกขธรรม. ก็ขุนคลังของพระราชบุตรทั้งสามนั้นคนเดียวกัน, สมุห์บัญชีก็คนเดียวกัน, ท่านทั้งสามพระองค์นั้น มีบุรุษ ๑๒ นหุตเป็นบริวาร. พระราชโอรสทั้งสามรับสั่งให้เรียกบริวารเหล่านั้นมาแล้ว ตรัสว่า เราทั้งสามจักรับศีล ๑๐ นุ่งห่มผ้ากาสายะ ๒ ผืน อยู่ร่วมด้วยพระศาสดา ตลอดไตรมาสนี้, พวกท่านพึงรับค่าใช้จ่ายมีประมาณเท่านี้ ยังของเคี้ยว ของบริโภคทุกอย่างให้เป็นไปทั่วถึงแก่ภิกษุเก้าหมื่นรูป และนักรบของเราพันหนึ่ง, เพราะแต่นี้ไป พวกเราจักไม่พูดอะไร?.

คนเหล่านี้ได้รับผลที่ตนปรารถนาแล้วเหมือนกัน ด้วยประการอย่างนี้. วันหนึ่ง พวกเขาพบหญิงตายทั้งกลม๒- ตกลงว่า จักเผา จึงนำไปป่าช้า ในชนเหล่านั้นพักไว้ในป่าช้า ๕ คน ด้วยสั่งว่า พวกท่านจงเผา ที่เหลือเข้าไปบ้าน. นายยส๓- เอาหลาวแทงศพนั้นพลิกกลับไปกลับมาเผาอยู่ ได้อสุภสัญญาแล้ว เขาแสดงแก่สหาย ๓ คนแม้นอกนี้ว่า ท่านผู้เจริญ พวกท่านจงดูศพนี้ มีหนังลอกแล้วในที่นั้นๆ ดุจรูปโคด่าง ไม่สะอาด เหม็น น่าเกลียด. ทั้ง ๔ คนนั้นก็ได้อสุภสัญญาในศพนั้น. เขา ๕ คนไปบ้านบอกแก่สหายที่เหลือ. ส่วนนายยสไปเรือนแล้วได้บอกแก่มารดาบิดาและภรรยา.

สัพเพธรรมา ธรรมทั้งหลายเป็นทุกข์ ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุ แห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติทรงสั่งสอนอย่างนี้. ครั้งนั้น พระศาสดาทรงดำรงอยู่ในพุทธวิสัยไม่มีปริมาณ ทรงเริ่มพระธรรมเทศนาแล้ว. ในกาลจบเทศนา ชฎิลเจ็ดหมื่นสี่พันยกสรทดาบสเสีย ทั้งหมดบรรลุพระอรหัตแล้ว. พระศาสดาทรงเหยียดพระหัตถ์ตรัสว่า เธอทั้งหลาย จงเป็นภิกษุมาเถิด. ทันใดนั้นเอง ผมและหนวดของชฎิลเหล่านั้นได้อันตรธานไปแล้ว. บริขาร ๘ ได้สวมกายแล้วเทียว.

ประวัติพระพุทธเจ้า ตอน สาวกองค์สุดท้าย

ข้าพเจ้าเห็นพระนิสภเถระอัครสาวกของพระศาสดา จึงปรารถนาตำแหน่งพระอัครสาวกในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม ผู้จะเสด็จอุบัติในอนาคต, แม้เธอก็จงปรารถนาตำแหน่งสาวกที่ ๒ ในศาสนาของพระองค์ท่าน. ครั้งนั้น ดาบสเหล่านั้นคิดว่า ถ้าบุรุษผู้นี้จักได้เป็นคนเล็กน้อยไซร้, ท่านอาจารย์ของพวกเราคงไม่ชักสิ่งเห็นปานนี้มาอุปมา, บุรุษผู้นี้จะใหญ่เพียงไรหนอ ดังนี้แล้ว ทั้งหมดเทียวหมอบลงแทบพระบาททั้งสอง ถวายบังคมด้วยเศียรเกล้าแล้ว. ครั้งนั้น อาจารย์กล่าวกะดาบสเหล่านั้นว่า พ่อทั้งหลาย ไทยธรรมที่สมควรแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลายของเราไม่มี, และพระศาสดาก็เสด็จมาในที่นี้ในเวลาภิกษาจาร, พวกเราจักถวายไทยธรรม ตามสัตติ ตามกำลัง พวกเจ้าจงนำผลาผลประณีตที่มีอยู่มา ดังนี้. ครั้นให้นำมาแล้ว ล้างมือทั้งสองแล้ว ตั้งไว้ในบาตรของพระตถาคตด้วยตนเอง.

แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นก็ตรัสว่า พวกเจ้าจักยังไม่ได้ในกาลของเรา แต่ภายหลังแห่งเรา เมื่อมหาปฐพีงอกสูงขึ้นประมาณได้ ๑ โยชน์ พระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม จักเสด็จอุบัติขึ้น, ในกาลนั้น ญาติของพวกเจ้าจักเป็นพระราชาพระนามว่าพิมพิสารพระเจ้าพิมพิสารนั้นถวายทานแด่พระศาสดาแล้ว จักให้ส่วนกุศลทานถึงแก่พวกเจ้า พวกเจ้าจักได้ (อาหาร) ในคราวนั้น. สองสหายนั้นถวายบังคมพระศาสดาแล้ว นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง. เขาทั้งสองได้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิดพระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงเป็นภิกษุมาเถิด, ธรรมเรากล่าวดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด. คนทั้งหมดได้เป็นผู้ทรงบาตรจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ ราวกะว่าพระเถระ ๑๐๐ พรรษา.

ธรรม เหล่า ใด เกิด แต่ เหตุ พระ ตถาคต ตรัส เหตุ แห่ง ธรรม เหล่า นั้น และ การ ดับ เหตุ แห่ง ธรรม เหล่า นั้น พระ มหา สมณะ มี วา ทะ อย่าง นี้ เป็น ธรรม ที่ บุคคล ใด แสดง กับ บุคคล ใด เป็น ครั้ง แรก

ท่านได้ทำความปรารถนาว่า พระเจ้าข้า ด้วยผลแห่งสักการะที่ข้าพระองค์กั้นฉัตรดอกไม้ทำแล้วตลอด ๗ วันนี้ ข้าพระองค์มิได้ปรารถนาความเป็นท้าวสักกะหรือความเป็นพรหมอย่างอื่น, แต่ขอข้าพระองค์ พึงเป็นพระอัครสาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต เหมือนพระนิสภเถระองค์นี้. มีคำถามว่า ก็ท่านพระสารีบุตร เป็นผู้มีปัญญามาก มิใช่หรือ? เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร จึงบรรลุสาวกบารมีญาณช้ากว่าพระมหาโมคคัลลานะ. ฝ่ายพระราชโอรส ๓ พี่น้อง พร้อมด้วยบุรุษพันหนึ่ง ทำกาละแล้วเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวจากเทวโลกสู่เทวโลก ยังกาลให้สิ้นไป ๙๒ กัลป์. พระราชโอรส ๓ พี่น้องนั้น ปรารถนาพระอรหัต ทำกัลยาณกรรมในกาลนั้น ด้วยประการอย่างนี้.

พระธรรมทูตรุ่นแรก    มีพระอรหันต์เกิดขึ้นแล้วในโลก ๖๑ องค์ คือ

2) สัมปสาทนียสูตร, ทีฆนิกาย ปาฏิวรรค, มก. 1) จังกีสูตร, มัชฌิมนิกาย มัชฌิมนิกายบัณณาสก์, มก. หันทะ มะยัง สะระภัญเญนะ พุทธะมังคะละคาถาโย ภะณามะ เส. เสียงนั้นได้มีเพียง ๗ วันเท่านั้น พ้น ๗ วันก็หายไป. “จะระถะ ภิกขะเว จาริกัง พะหุชะนะหิตายะ พะหุชะนะสุขายะ โลกานุกัมปายะ อัตถายะ หิตายะ สุขายะ เทวะมนุสฺสานัง.” อภิธรรมปิฎก ยมก สัจจยมก เล่ม ๓๘ ภาษาบาลี ข้อ ๑–๑๗๐ หน้า ๒๑๔-๒๗๘ ภาษาไทย ข้อ ๑–๑๗๐ หน้า ๓๕๒–๔๔๕.

  • ในสองบ้านนั้น ในวันที่นางพราหมณีชื่อสารี ในอุปติสสคามตั้งครรภ์นั่นแล แม้นางพราหมณีชื่อโมคคัลลีในโกสิตคามก็ตั้งครรภ์.
  • ครั้งนั้น อาจารย์กล่าวกะดาบสเหล่านั้นว่า พ่อทั้งหลาย ไทยธรรมที่สมควรแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลายของเราไม่มี, และพระศาสดาก็เสด็จมาในที่นี้ในเวลาภิกษาจาร, พวกเราจักถวายไทยธรรม ตามสัตติ ตามกำลัง พวกเจ้าจงนำผลาผลประณีตที่มีอยู่มา ดังนี้.
  • เปรตเหล่านั้นยังกาลมีประมาณเท่านั้นให้สิ้นไปแล้ว เมื่อพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าโกนาคมนะนั้นเสด็จอุบัติขึ้นแล้ว จึงได้ทูลถามพระองค์ แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นก็ตรัสว่า พวกท่านจักยังไม่ได้ในกาลของเรา แต่ภายหลังแห่งเรา เมื่อมหาปฐพีงอกสูงขึ้นประมาณได้ ๑ โยชน์ พระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ จักอุบัติขึ้น พวกเจ้าพึงทูลถามพระองค์เถิด.
  • เมื่อข้าพระองค์ตอบว่า คนเขลามาก, ก็กล่าวว่า ถ้ากระนั้น พวกคนฉลาดๆ จักไปสำนักพระสมณโคดม, พวกคนเขลาๆ จักมาสำนักของเรา, เธอทั้งสองไปเถอะ ไม่ปรารถนาจะมา พระเจ้าข้า.
  • ครั้นให้นำมาแล้ว ล้างมือทั้งสองแล้ว ตั้งไว้ในบาตรของพระตถาคตด้วยตนเอง.

บุรุษผู้นี้เป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย จึงทำการต้อนรับ ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ได้จัดอาสนะถวายแล้ว. พระองค์ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย แม้พวกภัทรวัคคีย์นั่นก็ปรารถนาพระอรหัต ในสำนักพระพุทธเจ้าในปางก่อนแล้วทำบุญ. ภายหลัง เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติขึ้น, เป็นนักเลง ๓๐ คน ฟังตุณฑิโลวาทแล้ว ได้รักษาศีล ๕ ตลอดหกหมื่นปี. แม้ภัทรวัคคีย์เหล่านี้ ก็ได้ผลที่ตนปรารถนาแล้วๆ เหมือนกัน ด้วยประการอย่างนี้. หาใช่เราเลือกหน้าให้ภิกษุทั้งหลายไม่. ครั้นเมื่อท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ ได้บรรลุธรรม ดำรงอยู่ในโสดาปัตติมรรคแล้ว จึงได้ทูลขอบรรพชาต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งสมเด็จพระบรมศาสดาก็ประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทา โดยตรัสว่า เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ดังนี้ แล้วตรัสต่อไปว่าธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.

ความหมายคำว่า ศาสนา

รุ่งขึ้น เปรตเหล่านั้นเปลือยกายแสดงตนแล้ว. พระราชาทูลว่า วันนี้ พวกเปรตเปลือยกายแสดงตน พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่า มหาบพิตร พระองค์มิได้ถวายผ้า. เปรตเหล่านั้นยังกาลมีประมาณเท่านั้นให้สิ้นไปแล้ว, เมื่อพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะนั้นเสด็จอุบัติขึ้นแล้ว, จึงทูลถามพระองค์.

ธรรม เหล่า ใด เกิด แต่ เหตุ พระ ตถาคต ตรัส เหตุ แห่ง ธรรม เหล่า นั้น และ การ ดับ เหตุ แห่ง ธรรม เหล่า นั้น พระ มหา สมณะ มี วา ทะ อย่าง นี้ เป็น ธรรม ที่ บุคคล ใด แสดง กับ บุคคล ใด เป็น ครั้ง แรก

เปรตเหล่านั้นยังกาลมีประมาณเท่านั้นให้สิ้นไปแล้ว เมื่อพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าโกนาคมนะนั้นเสด็จอุบัติขึ้นแล้ว จึงได้ทูลถามพระองค์ แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นก็ตรัสว่า พวกท่านจักยังไม่ได้ในกาลของเรา แต่ภายหลังแห่งเรา เมื่อมหาปฐพีงอกสูงขึ้นประมาณได้ ๑ โยชน์ พระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ จักอุบัติขึ้น พวกเจ้าพึงทูลถามพระองค์เถิด. พวกเปรตถามเวลาได้อาหารกะพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์เปรตเหล่านั้นเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากกุสันธะ ผู้ทรงพระชนมายุได้สี่หมื่นปี เสด็จอุบัติขึ้นก่อนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในกัลป์นี้ ทูลว่า ขอพระองค์โปรดบอกกาลเป็นที่ได้อาหารแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย. นี้เป็นบุรพกรรมของคน ๕๕ คน มียสกุลบุตรเป็นประมุขนั้น. เพราะฉะนั้นแล ความสำคัญในเรือนอันเกลื่อนด้วยสตรีเป็นดุจป่าช้าจึงเกิดแก่นายยส แลด้วยอุปนิสัยสมบัตินั้น การบรรลุคุณวิเศษจึงเกิดขึ้นแก่พวกเขาทั้งหมด.

ธรรม เหล่า ใด เกิด แต่ เหตุ พระ ตถาคต ตรัส เหตุ แห่ง ธรรม เหล่า นั้น และ การ ดับ เหตุ แห่ง ธรรม เหล่า นั้น พระ มหา สมณะ มี วา ทะ อย่าง นี้ เป็น ธรรม ที่ บุคคล ใด แสดง กับ บุคคล ใด เป็น ครั้ง แรก

สิริวัฑฒะฟังพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายแล้ว ได้เป็นผู้ร่าเริงบันเทิงแล้ว, แม้พระศาสดาทรงทำภัตตานุโมทนาแล้ว พร้อมทั้งบริวารเสด็จไปยังวิหารแล. พระศาสดาทรงดำริว่า ขออัครสาวกทั้งสอง จงมาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์. พระอัครสาวกทั้งสองนั้นทราบพระดำริของพระศาสดาแล้ว มีพระขีณาสพแสนรูปเป็นบริวาร มาถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง. บุรพกรรมของภัทรวัคคีย์ ๓๐ คนภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า ก็พระภัทรวัคคีย์ผู้เพื่อนกันได้ทำกรรมอะไรไว้เล่า? ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ 10 ประการ……. ในวันแรม ๓ ค่ำ ทรงให้พระมหานามเถระตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล.

ธรรม เหล่า ใด เกิด แต่ เหตุ พระ ตถาคต ตรัส เหตุ แห่ง ธรรม เหล่า นั้น และ การ ดับ เหตุ แห่ง ธรรม เหล่า นั้น พระ มหา สมณะ มี วา ทะ อย่าง นี้ เป็น ธรรม ที่ บุคคล ใด แสดง กับ บุคคล ใด เป็น ครั้ง แรก

ศิษย์สำเร็จอรหัตผลก่อนอาจารย์พระศาสดาประทับนั่งแสดงธรรมในท่ามกลางบริษัท ๔ ทอดพระเนตรเห็นปริพาชกเหล่านั้นแต่ไกลทีเดียว ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายด้วยพระดำรัสว่าภิกษุทั้งหลาย สองสหายนั่นกำลังมา คือโกลิตะและอุปติสสะ ทั้งสองนั่นจักเป็นคู่สาวกที่ดีเลิศของเรา. พระอัสสชิแสดงหัวใจพระศาสนาพระเถระคิดว่า ธรรมดาปริพาชกเหล่านี้ ย่อมเป็นปฏิปักษ์ต่อพระศาสนา, เราจักแสดงความลึกซึ้งในพระศาสนาแก่ปริพาชกนี้, เมื่อจะแสดงความที่ตนบวชใหม่ จึงกล่าวว่า ผู้มีอายุ เราแลเป็นผู้ใหม่ บวชแล้วไม่นาน เพิ่งมาสู่ธรรมวินัยนี้, เราจักไม่สามารถแสดงธรรมโดยพิสดารก่อน. สรทดาบสเห็นพระพุทธานุภาพและความสำเร็จแห่งพระสรีระ สอบสวนมนต์สำหรับทำนายลักษณะ ก็ทราบได้ว่า อันผู้ประกอบด้วยลักษณะเหล่านี้ เมื่ออยู่ในท่ามกลางเรือน ย่อมเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ, เมื่อออกบวช ย่อมเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า มีกิเลสเครื่องมุงบังอันเปิดแล้วในโลก.

บทความล่าสุด