ฝ่ายนางปฏาจารานั้นเป็นโสดาบันแล้ว ทูลขอบรรพชากะพระศาสดา. พระศาสดาทรงส่งนางไปยังสำนักของพวกภิกษุณีให้บรรพชาแล้ว. นางได้อุปสมบทแล้วปรากฏชื่อว่า “ปฏาจารา” เพราะนางกลับความประพฤติได้.
เที่ยวกระเซอะกระเซิงไป ไม่รู้สึกถึงผ้าที่นุ่งซึ่งได้หลุดลง คนทั้งหลายเห็นนางแล้ว เข้าใจว่าหญิงบ้า จึงเอาหยากเยื่อ กอบฝุ่น โปรยลงบนศีรษะ ขว้างด้วยก้อนดิน. พระนางปฏาจาราเถรีนั้น เป็นธิดาของเศรษฐีผู้มีสมบัติ ๔๐ โกฎิ ในกรุงสาวัตถี มีรูปร่างสวยงาม. แม่ วันนี้ ในกลางคืน พายุได้พัดเอาเรือนล้มทับ คนที่อยู่ข้างในตายหมด วันนี้คนทั้งสามเหล่านั้นก็ถูกเผาบนเชิงตะกอนเดียวกัน แม่เอ๋ย ควันนั่นยังปรากฏอยู่. ฉันเห็น พ่อ ฝนนั้นคืนยังรุ่งเพื่อฉันเท่านั้นไม่ตกเพื่อคนอื่น แต่ฉันจักบอกเหตุที่ฝนตกเพื่อแก่ท่านภายหลัง โปรดบอกความเป็นไปในเรือนเศรษฐีนั้นแก่ฉันก่อน.
ข้อมูลทั่วไป
การเลือกทักขิณาทานและพระทักขิไณยบุคคล แล้วจึงให้ทาน พระสุคตเจ้าทรงสรรเสริญ ทานที่บุคคลถวายในพระทักขิไณยบุคคลมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ซึ่งมีอยู่ในสัตว์โลกนี้ ย่อมมีผลมาก เหมือนพืชที่หว่านลงในนาดีฉะนั้น. บุคคลใดไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายเที่ยวไปอยู่ ไม่ทำบาปเพราะกลัวคนอื่นจะติเตียน บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุคคลผู้กลัวบาปนั้น ย่อมไม่สรรเสริญบุคคลผู้กล้าในการทำบาป เพราะว่าสัตบุรุษทั้งหลาย ย่อมไม่ทำบาป เพราะความกลัวถูกติเตียน. บุคคลย่อมเกิดในตระกูลกษัตริย์เพราะพรหมจรรย์อย่างต่ำเกิดในเทวโลกเพราะพรหมจรรย์อย่างกลาง และบริสุทธิ์ได้ เพราะพรหมจรรย์อย่างสูง.
ฤๅษีทั้งหมดฟังดังนั้นก็ได้ถึงความสังเวช. ไม่ใช่พระชาติสุดท้ายที่เป็นมนุษย์ ก่อนที่จะเกิดเป็นเจ้าชาติสิทธตะและตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จบเสวยพระชาติเป็น เนมิราชโพธิสัตว์ชาดก พระมหากัญจนดาบสโพธิสัตว์ พระมหาโพธิสัตว์ ก็อธิฐานเวียนเกิดเวียนตาย ดังมีในอรรถกถาภิงสจริยา ที่ผู้เขียนตัดต่อมาจากอรรถกถา อรรถกถาภิงสจริยาที่ ๔ ได้ยินว่า ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นบุตรพราหมณ์มหาศาลมีสมบัติ ๘๐ โกฏิ ในกรุงพาราณสี. ครั้นเมื่อกัญจนกุมารเดินได้ ได้มีบุตรอื่นเกิดขึ้นอีก ชื่อว่า อุปกัญจนกุมาร. ตั้งแต่นั้นมา ชนทั้งหลายพากันเรียกพระมหาสัตว์ว่า มหากัญจนกุมาร.
พระอุบลวรรณาเถรี เอตทัคคะ ในฝ่ายผู้มีฤทธิ์ : เพราะสวยบาดใจจึงต้องให้บวช
ส่วนน้องคนเล็กเป็นธิดาคนเดียว ชื่อว่ากัญจนเทวี. พระมหาสัตว์ครั้นเจริญวัยได้ไปเมืองตักศิลา เล่าเรียนศิลปะทุกอย่างสำเร็จแล้วก็กลับ. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ เมื่อจะถามถึงความประพฤติชอบที่ทวยเทพเหล่านั้นกระทำแล้วในอัตภาพก่อน อันเป็นเหตุแห่งสมบัตินั้นโดยการประกาศถึงสมบัติที่ทวยเทพเหล่านั้นได้ในครั้งนั้นเฉพาะตน จึงถามด้วยคาถา ดุจท่านมหาโมคคัลลานะถามฉะนั้น. แม้ทวยเทพเหล่านั้นก็ตอบแก่อาจารย์คุตติละ เหมือนอย่างที่ตอบแก่พระเถระ ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนโมคคัลลานะ เทวดาเหล่านั้นมิได้ ตอบอย่างเดียวกับที่เธอถามเท่านั้น เมื่อก่อนก็ได้ตอบเหมือนอย่างที่เราถามเหมือนกันดังนี้. พระมหาสัตว์ สดับดังนั้นแล้วคิดว่า มุสิละนี้ ยังหนุ่มมีกำลัง ส่วนเราแก่แล้วกำลังก็น้อย ถ้าเราแพ้ เราตายเสียดีกว่า เพราะฉะนั้น เราจะเข้าไปป่าผูกคอตายละ จึงไปป่าเกิดกลัวตายก็กลับ อยากตายอีกไปป่ากลัวตายอีกก็กลับ เมื่อพระมหาสัตว์ไป ๆ มา ๆ อยู่อย่างนี้ ที่นั้นเตียนโล่งไม่มีหญ้าเลย. ลำดับนั้น เทวราชเข้าไปหาพระมหาสัตว์ปรากฏรูปประดิษฐานอยู่บนอากาศ กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านอาจารย์ทำอะไร.
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ บรรทัดที่ ๑-๘๑๓๗ หน้าที่ ๑-๓๓๔. “เป็นเพราะเราทีเดียว สามีของเราจึงต้องตายที่หนทางเปลี่ยว” ดังนี้แล้วก็เดินไป. ธิดาเศรษฐีเอาหม้อน้ำมาแล้ว ทำกิจมีการตำข้าวและหุงต้ม เป็นต้นด้วยมือตนเอง เสวยผลแห่งความชั่วของตน. เป็นผู้มีวาทะอย่างนี้ เป็นผู้มีทิฐิอย่างนี้ว่า เบื้องหน้าแต่มรณะ อัตตาไม่มีรูป … เหยี่ยวไม่ได้ยินเสียงนั้นเลยเพราะไกลกัน จึงเฉี่ยวเด็กบินขึ้นสู่เวหาสไปแล้ว.
ผลของการทำความดี 5 ข้อ ในชีวิตประจำวัน
พระมหาสัตว์ได้ทูลตอบแสดงความเจ็บใจของตนว่า ข้าแต่ท้าวโกสีย์ ข้าพระองค์ได้สอนวิชาดีดพิณ๗ สาย มีเสียงไพเราะมากน่ารื่นรมย์ แก่มุสิละผู้เป็นศิษย์ เขาตั้งใจจะดีดพิณประชันกับข้าพระองค์กลางเวที ขอพระองค์ได้โปรดเป็นที่พึ่งแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด. ท้าวสักกเทวราชได้สดับดังนั้น เมื่อจะทรงปลอบว่า อาจารย์อย่ากลัวเลย ข้าพเจ้าเป็นที่พึ่ง ช่วยบรรเทาทุกข์ของอาจารย์ จึงตรัสว่า ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าจะเป็นที่พึ่งของอาจารย์ข้าพเจ้าเป็นผู้บูชาท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าผู้เป็นศิษย์จะไม่ปล่อยให้ท่านอาจารย์แพ้ ท่านอาจารย์จะต้องชนะนายมุสิละผู้เป็นศิษย์แน่นอน. นัยว่า พระมหาสัตว์ได้เป็นอาจารย์ของท้าวสักกเทวราชในอัตภาพก่อน. ก็แลครั้นท้าวสักกเทวราชตรัสอย่างนี้แล้วจึงปลอบว่า ในวันที่ ๗ ข้าพเจ้าจักมายังโรงแข่งขัน ขอให้ท่านอาจารย์วางใจ เล่นดนตรีไปเถิด แล้วก็เสด็จไป. เมื่อใด คนทั้งหลายผู้ปฏิญาณตนว่า เป็นสมณะมีบาตรในมือ ศีรษะโล้นคลุมผ้าสังฆาฏิ จักทำไร่ไถนาเลี้ยงชีพ เมื่อนั้น สุนัขดำตัวนี้ก็จะหลุดไปกินคนเหล่านั้น.
ทารกทั้ง ๒ ทนกำลังแห่งฝนและลมไม่ได้ ก็ร้องไห้ลั่น.
- ก็และครั้นสหายทั้งหลายกล่าวอย่างนี้แล้ว มารดาบิดาจึงเรียกพระมหาสัตว์แจ้งความประสงค์แม้ของตนๆ แก่พระมหาสัตว์แล้วกล่าวว่า ลูกรักลูกประสงค์จะบวชให้ได้ ลูกจงสละทรัพย์ ๘๐ โกฏิอันเป็นของลูกตามสบายเถิด.
- ฤๅษีทั้งหมดฟังดังนั้นก็ได้ถึงความสังเวช.
- อนึ่ง เมื่อใด ชนทั้งหลายจักกล่าวดูหมิ่นมารดาบิดาผู้แก่เฒ่าชราว่า เป็นคนโง่เง่า เมื่อนั้น สุนัขดำตัวนี้จะหลุดไปกินคนเหล่านั้น.
- บุคคลย่อมเกิดในตระกูลกษัตริย์เพราะพรหมจรรย์อย่างต่ำเกิดในเทวโลกเพราะพรหมจรรย์อย่างกลาง และบริสุทธิ์ได้ เพราะพรหมจรรย์อย่างสูง.
- ต่อมา พระศาสดา ทรงอาศัยกรุงเวสาลีประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา สมัยนั้น พระเจ้าสุทโธทนมหาราช ทรงทำให้แจ้งพระอรหัตแล้วปรินิพพาน ภายใต้พระมหาเศวตฉัตร.
ส่วนบุตรผู้ยืนอยู่ที่ฝั่งนี้ เห็นมารดายกมือทั้งสองขึ้น ร้องเสียงดังท่ามกลางแม่น้ำ จึงกระโดดลงแม่น้ำโดยเร็วด้วยสำคัญว่ามารดาเรียกจึงถูกกระแสน้ำพัดหายไป เหยี่ยวเฉี่ยวเด็กอ่อนของนางไป บุตรคนโตก็ถูกน้ำพัดไป ด้วยประการฉะนี้. ผู้ใดพึงพิจารณาถึงการงาน และโภคะอันไพบูลย์ ไม่ส้องเสพความอยากอันประกอบด้วยความฉิบหาย ทำตามถ้อยคำของผู้เอ็นดูทั้งหลาย ผู้เช่นนั้นไม่พึงถูกจักรกรดพัดผัน. ท่านได้ทรัพย์มากมายถึงสองล้านแล้ว มิได้ทำตามคำชอบของญาติทั้งหลายผู้เอ็นดู ท่านแล่นเรือไปสู่สมุทรซึ่งอาจยังเรือให้โลดขึ้นได้ เป็นสาครมีสิทธิ์น้อยได้ประสบนางเวมานิกเปรต ๔ นาง จาก ๔ นางเป็น ๘ นาง จาก ๘นางเป็น ๑๖ นาง. อุบาสกโสดาบันในกาลนั้น ครั้นเจริญมรรคให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปก็นิพพาน. พญานาคได้เป็นสารีบุตร ส่วนเทวดาประจำสมุทร คือเราตถาคตนี้แล. บทว่า ลูนเกสี ได้แก่ ชื่อว่าถอนผม เพราะข้าพเจ้าถูกถอนถูกทิ้งผม คือมีผมถูกถอนด้วยเสี้ยนตาล ในการบวชในลัทธินิครนถ์ พระเถรีกล่าวหมายถึงลัทธินั้น.
แม้พวกที่เหลือก็ออกจากบรรณศาลาด้วยสัญญาณระฆัง ถือเอส่วนที่ถึงของตนๆ ไปยังที่อยู่บริโภคแล้วบำเพ็ญสมณธรรม. ครั้นต่อมาได้นำเอาเง่าบัวมาบริโภคเหมือนอย่างนั้น. ฤๅษีเหล่านั้นมีความเพียรกล้า มีอินทรีย์มั่นคงอย่างยิ่ง กระทำกสิณบริกรรมอยู่ ณ ที่นั้นลำดับนั้น ด้วยเดชแห่งศีลของฤๅษีเหล่านั้น ภพของท้าวสักกะหวั่นไหวท้าวสักกะทราบเหตุนั้น ทรงดำริว่า จักทดลองฤๅษีเหล่านี้ ด้วยอานุภาพของตนจึงทำให้ส่วนของพระมหาสัตว์หายไปตลอด ๓ วัน. ในวันแรกพระมหาสัตว์ไม่เห็นส่วนของตน คิดว่า คงจะลืมส่วนของเรา. ในวันที่ ๓ คิดว่า เราจักฟังเหตุการณ์นั้นแล้วจักให้ขอขมา จึงให้สัญญาณระฆังในเวลาเย็น เมื่อฤๅษีทั้งหมดประชุมกันด้วยสัญญาณนั้น จึงบอกเรื่องนั้นให้ทราบครั้นฟังว่า ฤๅษีเหล่านั้นได้แบ่งส่วนไว้ให้ทั้ง ๓ วัน จึงกล่าวว่า พวกท่านแบ่งส่วนไว้ให้เรา แต่เราไม่ได้ มันเรื่องอะไรกัน?
ทาน ท่านผู้รู้สรรเสริญโดยส่วนมากก็จริง แต่ว่าบทแห่งธรรมแลประเสริฐกว่าทาน เพราะว่าสัตบุรุษทั้งหลายในครั้งก่อน หรือว่า ก่อนกว่านั้นอีก ท่านมีปัญญา เจริญสมถวิปัสสนาแล้ว ได้บรรลุพระนิพพานทีเดียว. ครั้นกล่าวอนุโมทนาอย่างนี้แล้ว ก็ได้เหาะไปเหมือนอย่างนั้นแหละ พร้อมกับบริขารทั้งหลาย. พระปัจเจกพุทธเจ้า ๗ พระองค์ พรรณนาอมตมหานิพพานแด่พระราชา ด้วยอนุโมทนาคาถาอย่างนี้แล้ว กล่าวสอนพระราชาด้วยอัปปมาทธรรม แล้วไปที่อยู่ของตนๆ ตามนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. แม้พระราชา พร้อมด้วยพระอัครมเหสี ก็ได้ถวายทานจนตลอดพระชนมายุ ครั้นเคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้ว ก็ได้เสด็จไปสู่สวรรค์. ลำดับนั้น พระมหาบุรุษบริจาคทรัพย์นั้นแก่คนยากจน และคนเดินทางเป็นต้น แล้วออกบวชเข้าไปยังหิมวันตประเทศ.
เมื่อใด พวกพราหมณ์จักถือโล่ห์และดาบเหน็บกระบี่ คอยดักอยู่ที่ทางฆ่าคนชิงเอาทรัพย์ เมื่อนั้น สุนัขดำตัวนี้จะหลุดไปกินพราหมณ์เหล่านั้น. ได้ยินว่าพระนางมหาปชาบดีได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เรานี้ ทั้งๆ ที่พระตถาคตไม่ทรงอนุญาตแล้ว ก็ถือเพศบรรพชาด้วยตนเองทีเดียว แล้วก็ความที่เราถือเพศบรรพชาอย่างนี้ เกิดปรากฏเป็นที่ทราบไปทั่วชมพูทวีปแล้ว ถ้าพระศาสดาทรงอนุญาตบรรพชาไซร้ ข้อนั้นเป็นการดี แต่ถ้าพระองค์จักไม่ทรงอนุญาตไซร้ จักมีความครหาอย่างใหญ่หลวง พระนางทรงปริวิตกอย่างนี้จึงไม่อาจจะเข้าไปยังวิหาร ได้ยืนทรงกรรแสงอยู่. พระปฏาจาราเถรี ท่านมีเมตตาและได้อนุเคราะห์แก่สตรีหลายท่าน ภายหลังสตรีเหล่านั้น ได้มาบวชเป็นภิกษุณี และท่านได้สอนและเตือนสติแก่สตรี ด้วยท่านเป็นผู้ทรงพระวินัยและฉลาดในคาถาธรรม ทำให้สตรีหลายท่าน เช่น อุตตราเถรี จันทาเถรี ปัญจสตมัตตาเถรี เป็นต้น ฯลฯ ได้บรรลุพระอรหันต์และแนะนำสอนสตรี ๕๐๐ คน ให้เกิดความสังเวชใจจึงพากันบวชในสำนักของพระเถรี ครั้นบวชแล้ว บำเพ็ญวิปัสสนากัมมัฏฐาน ไม่นานนักก็ตั้งอยู่ในพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ๔.