คนดังRSV คือโรคระบบทางเดินหายใจในเด็ก - ข้อมูลสำคัญ

RSV คือโรคระบบทางเดินหายใจในเด็ก – ข้อมูลสำคัญ

ต้องอ่าน

ไวรัส RSV ทำให้เกิดโรคหลอดลมฝอยอักเสบในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี มันแพร่ระบาดเร็วและรุนแรงกว่าไข้หวัดทั่วไป อาจนำไปสู่อาการหอบเหนื่อยหรือปอดอักเสบ

RSV พบมากในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว มันเป็นเชื้อไวรัสที่มีเปลือกหุ้ม ติดเชื้อทั้งทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง

โรคนี้มักพบในเด็ก โดยเฉพาะช่วงฤดูฝน การระบาดครั้งใหญ่เกิดขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2561

rsv คือ

ไวรัส RSV หรือ Respiratory Syncytial Virus เป็นสาเหตุหลักของการติดเชื้อทางเดินหายใจ มันมักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี ไวรัสนี้มักระบาดเกือบทุกปี

ไวรัส RSV คืออะไร

ไวรัส RSV ทำให้เด็กเล็กเป็นโรคหลอดลมฝอยอักเสบ ภาวะนี้ทำให้หลอดลมเล็กๆ อักเสบ ส่งผลให้เด็กหายใจลำบาก

ไวรัส RSV มักเกิดในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี มันพบบ่อยในช่วงเปลี่ยนฤดู โดยเฉพาะจากปลายฤดูฝนไปสู่ฤดูหนาว

ในช่วงนี้ ไวรัสแพร่กระจายตัวได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

อาการของการติดเชื้อ RSV

การติดเชื้อ RSV มีอาการคล้ายไข้หวัดทั่วไป เช่น ไข้, ไอ, จาม, คัดจมูก และ น้ำมูกไหล เด็กเล็กที่ติดเชื้อครั้งแรกอาจมีอาการรุนแรง ราว 20-30% ของเด็กอาจเป็น หลอดลมใหญ่อักเสบ, หลอดลมฝอยอักเสบ และ ปอดอักเสบ

อาการรุนแรงได้แก่ ไข้สูง, ไอแรง, หอบเหนื่อย และ หายใจมีเสียงผิดปกติ ผู้ป่วยมักมีอาการภายใน 4-6 วันหลังได้รับเชื้อ

อาการรายละเอียด
ไข้ไข้สูงกว่า 39°C
ไอไอแรง รุนแรง
หอบเหนื่อยหายใจเร็ว หายใจลำบาก
เสียงหวีดหวิวเสียงหายใจผิดปกติ
เสียงครืดคราดในคอเสียงแหบ ขัด ในลำคอ

ผู้ป่วยอาจมี ปัญหาการกิน และ เสียน้ำหนัก การติดเชื้อ RSV ทำให้เกิดอาการคลอดกำหนด และการอักเสบของทางเดินหายใจ

อาการติดเชื้อ RSV

การแพร่กระจายของเชื้อไวรัส RSV

วิธีการแพร่กระจายของไวรัส RSV

ไวรัสอาร์เอสวีแพร่กระจายผ่านน้ำมูก น้ำลาย หรือละอองฝอยจากการไอ จาม ของผู้ติดเชื้อ มันเข้าสู่ร่างกายทางจมูก ปาก และเยื่อบุตา ก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจ เชื้อนี้ยังปนเปื้อนบนพื้นผิวต่างๆ ได้นาน

ผู้ติดเชื้อสามารถแพร่กระจายเชื้อได้ 3-8 วัน อาจส่งต่อให้คนใกล้ชิดได้ง่าย นำไปสู่การระบาดในกลุ่มเสี่ยงได้

  • การสัมผัสกับน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย
  • การไอ จาม ที่ทำให้เกิดละอองฝอย
  • การสัมผัสกับสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสอาร์เอสวี
วิธีการแพร่กระจายระยะเวลาในการรอดชีวิตของเชื้อไวรัสอาร์เอสวี
สัมผัสน้ำมูก น้ำลายอย่างน้อย 30 นาที
สัมผัสสิ่งของปนเปื้อนได้นานเป็นวัน

การแพร่กระจายของเชื้อ RSV

การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อเป็นสิ่งสำคัญ ควรรักษาความสะอาด ล้างมือบ่อยๆ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วย วิธีนี้ช่วยลดโอกาสติดเชื้อและป้องกันการระบาดในกลุ่มเสี่ยง

การวินิจฉัยโรคติดเชื้อ RSV

การวินิจฉัยโรคติดเชื้อ RSV ไม่ใช่เรื่องง่าย อาการมักคล้ายกับการติดเชื้อไวรัสอื่นๆ ในระบบทางเดินหายใจ แต่อาการของ RSV มักรุนแรงกว่า โดยเฉพาะในเด็กเล็ก

แพทย์วินิจฉัยโรคด้วยการตรวจเชื้อจากสิ่งคัดหลั่งในโพรงจมูก บางครั้งอาจใช้การตรวจเอกซเรย์ปอดเพื่อตรวจหาปอดอักเสบ

วิธีการตรวจวินิจฉัยรายละเอียด
การตรวจเชื้อ RSVการเก็บตัวอย่างสิ่งคัดหลั่งจากโพรงจมูกเพื่อตรวจหาเชื้อไวรัส RSV
การตรวจเอกซเรย์ปอดการเอกซเรย์ปอดเพื่อตรวจสอบอาการปอดอักเสบจากการติดเชื้อ RSV

ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงอาจไม่จำเป็นต้องตรวจหาเชื้อโดยตรง แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการทางคลินิกเป็นหลัก และรักษาตามอาการที่แสดงออก

การตรวจเชื้อ RSV

การตรวจวินิจฉัยโรคติดเชื้อ RSV มีความสำคัญมาก เพื่อการรักษาที่เหมาะสมและทันท่วงที การตรวจมักทำในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงเท่านั้น

โรคแทรกซ้อนจากการติดเชื้อ RSV

เด็กที่ติดเชื้อ ไวรัส RSV อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น หูอักเสบ, ไซนัส หรือ ปอดอักเสบ จากเชื้อแบคทีเรีย เด็กอายุต่ำกว่า 1-2 ปีมีความเสี่ยงสูง

เด็กที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ คลอดก่อนกำหนด มีโรคหัวใจ หรือโรคปอดเรื้อรังเสี่ยงมากขึ้น ภาวะเหล่านี้อาจนำไปสู่ ภาวะแทรกซ้อน RSV ที่รุนแรง

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้

  • หูอักเสบ
  • ไซนัส
  • ปอดอักเสบ
ภาวะแทรกซ้อนความรุนแรงความเสี่ยง
หูอักเสบปานกลางเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 ปี, เด็กที่ภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง
ไซนัสปานกลางเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 ปี, เด็กที่ภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง
ปอดอักเสบรุนแรงเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 ปี, เด็กที่คลอดก่อนกำหนด, เด็กที่ภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง, โรคหัวใจ, โรคปอดเรื้อรัง

การรักษาโรคติดเชื้อ RSV

ยังไม่มียารักษาโรคติดเชื้อไวรัส RSV โดยตรง แพทย์จะรักษาตามอาการที่เกิดขึ้น วิธีรักษาอาจรวมถึงการให้ยาลดไข้ ยาแก้ไอ และยาขยายหลอดลม

เด็กที่มีเสมหะเหนียวมากอาจต้องพ่นยาขยายหลอดลม พ่นน้ำเกลือ และดูดเสมหะออก การใช้ยาปฏิชีวนะไม่มีประโยชน์ถ้าไม่มีการติดเชื้อแบคทีเรีย

ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงสามารถพักรักษาตัวที่บ้านได้ แต่หากมีอาการรุนแรง เช่น หายใจลำบาก ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที

การการรักษาตามอาการเป็นวิธีหลักในการรักษาโรคติดเชื้อ RSV แพทย์จะให้ยาตามอาการที่เกิดขึ้น เช่น ยาลดไข้หรือยาแก้ไอ

บทความที่น่าตื่นเต้นมากขึ้น  สาร อาหาร ที่ มี ความ สำคัญ สำหรับ วัย ทารก คือ ข้อ ใด

ในกรณีที่มีเสมหะเหนียว อาจต้องให้ยาขยายหลอดลมเพื่อช่วยการหายใจ ยาปฏิชีวนะจะไม่มีประโยชน์หากไม่มีการติดเชื้อแบคทีเรีย

วิธีการรักษาประโยชน์
ยาลดไข้ช่วยลดอาการไข้สูง
ยาขยายหลอดลมช่วยเปิดทางหายใจในกรณีที่มีเสมหะเหนียว
ยาแก้ไอช่วยผ่อนคลายอาการไอ
ยาปฏิชีวนะไม่มีประโยชน์หากไม่มีแบคทีเรียแทรกซ้อม

การรักษา RSV เน้นการดูแลอาการทั่วไปเป็นหลัก ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงสามารถพักรักษาตัวที่บ้านได้ แต่เด็กที่มีอาการรุนแรงต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดในโรงพยาบาล

การป้องกันโรคติดเชื้อ RSV

วิธีการป้องกันการติดเชื้อไวรัส RSV

การป้องกัน RSV สำคัญมากสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี เด็กกลุ่มนี้มักติดเชื้อได้ง่าย การรักษาความสะอาดและล้างมือบ่อยๆ ช่วยลดการแพร่เชื้อได้ถึง 70%

ผู้ปกครองควรล้างมือให้ถูกวิธีและสอนเด็กทำตาม ให้เด็กกินอาหาร 5 หมู่และนอนพักผ่อนเพียงพอ วิธีนี้ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงติดเชื้อ

ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์บ้าง อย่าอยู่ในห้องแอร์ตลอด การทำแบบนี้ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและลดโอกาสติดเชื้อ RSV

สรุปคือ รักษาความสะอาด ล้างมือบ่อยๆ กินอาหารมีประโยชน์ พักผ่อนให้พอ และออกไปรับอากาศบริสุทธิ์ วิธีเหล่านี้ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและป้องกัน RSV ได้ดี

ระยะฟักตัวของโรคติดเชื้อ RSV

โรคติดเชื้อไวรัส RSV พบบ่อยในเด็กเล็กและทารก ระยะฟักตัวก่อนเกิดอาการอยู่ที่ 2-8 วัน ส่วนใหญ่จะมีอาการภายใน 4-6 วันหลังได้รับเชื้อ1

การติดเชื้อ RSV แพร่กระจายได้ตั้งแต่ 3-8 วัน อาจนานกว่านั้นในเด็กและผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง2 ผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อนสามารถติดซ้ำได้ทุกช่วงอายุ

ระยะฟักตัวของโรคติดเชื้อ RSVระยะเวลา
ระยะเวลาก่อนแสดงอาการเร็วที่สุด2 วัน
ระยะเวลาก่อนแสดงอาการช้าที่สุด8 วัน
ระยะเวลาเฉลี่ยก่อนแสดงอาการ4-6 วัน

เด็กเล็กที่ติดเชื้อ RSV ครั้งแรกมีอาการรุนแรงถึง 20-30% อาการอาจลุกลามไปยังทางเดินหายใจส่วนล่าง3

การป้องกันการติดเชื้อ RSV ทำได้โดยล้างมือบ่อยๆ หยุดพักจากเนอร์เซอรี่จนกว่าอาการจะหาย และหลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วย วิธีเหล่านี้ช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส

กลุ่มเสี่ยงของโรคติดเชื้อ RSV

ไวรัส RSV มักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี โดยเฉพาะในฤดูฝนหรือต้นฤดูหนาว เด็กเล็กที่มีความเสี่ยงสูงคือทารกคลอดก่อนกำหนด และเด็กที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ หรือโรคปอดเรื้อรัง

ใครบ้างที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ RSV

กลุ่มเสี่ยงสูงคือเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี โดยเฉพาะทารกคลอดก่อนกำหนด เด็กที่มีโรคระบบทางเดินหายใจหรือโรคหัวใจมักมีอาการรุนแรงกว่าเด็กทั่วไป

การป้องกันและดูแลอย่างใกล้ชิดสำคัญมากสำหรับกลุ่มเสี่ยง เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีเสี่ยงติดเชื้อ RSV สูงกว่ากลุ่มอื่น โดยเฉพาะในฤดูฝน

ผู้ปกครองควรระมัดระวังและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด การดูแลเด็กกลุ่มเสี่ยงต้องทำอย่างรอบคอบเพื่อลดโอกาสติดเชื้อ RSVสี่ยงเหล่านี้อย่างใกล้ชิด

บทความล่าสุด